SCG Solar Roof Solutions รุกกลยุทธ์นำนวัตกรรมสู่ขั้นสุดของหลังคาโซลาร์ ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนยุคใหม่

 

       ปัจจุบันทิศทางการใช้พลังงานของโลกได้เปลี่ยนไปจากเดิม โดยมีแนวโน้มหันมาใช้พลังงานทดแทนเพิ่มมากขึ้นถึง 12-15% และคาดการณ์ว่าในปี 2050 สัดส่วนการใช้พลังงานทดแทนของโลกจะสูงถึง 85% ซึ่งสามารถชี้วัดได้ว่าการใช้พลังงานแสงอาทิตย์มีแนวโน้มสูงขึ้นตามลำดับ จากเทคโนโลยีที่พัฒนาและต้นทุนวัสดุอุปกรณ์ที่ถูกลง ทำให้มีการเข้าถึงพลังงานสะอาดได้ง่ายขึ้น ซึ่งในประเทศไทยมีสัดส่วนการใช้พลังงานทดแทนอยู่ที่ประมาณ 12% จากทั้งในกลุ่มอุตสาหกรรมที่เริ่มมีการใช้กันอย่างแพร่หลาย รวมถึงกลุ่มบ้านพักอาศัยก็เริ่มหันมาใช้พลังงานแสงอาทิตย์กันมากขึ้น ซึ่งมีผลจากวิกฤตการณ์โควิด-19 ที่ทำให้เกิดพฤติกรรมการทำงานที่บ้านเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ยังมีผลจากปัจจัยอื่น ๆ เช่น แนวโน้มอัตราค่าไฟที่สูงขึ้นเรื่อย ๆ จากสถานการณ์พลังงานผันผวนทั่วโลก เป็นต้น

       วิโรจน์ รัตนชัยสิทธิ์ Vice President – Housing Products and Solution Business ในธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง เอสซีจี กล่าวว่า เอสซีจี โซลาร์รูฟ โซลูชัน” ในฐานะผู้นำด้านนวัตกรรมระบบหลังคาโซลาร์สำหรับที่พักอาศัย พร้อมโซลูชันครบวงจร เราเล็งเห็นถึงการพัฒนาโซลูชันเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าเป็นเรื่องที่สำคัญ จึงพัฒนาสินค้าและบริการให้เข้ากับทุกไลฟ์สไตล์การใช้ไฟฟ้าในบ้านอย่างครอบคลุมและเกิดประสิทธิภาพสูงสุด ทั้งนี้เพื่อขับเคลื่อนและผลักดันให้พลังงานสะอาดสามารถเข้าถึงผู้บริโภคได้ง่ายยิ่งขึ้น มุ่งเน้นในการพัฒนาโซลูชันให้ตอบสนองความต้องการของที่อยู่อาศัยในปัจจุบันได้อย่างสูงสุด ในด้านตลาดอสังหาริมทรัพย์ต่างตื่นตัวต่อการใช้ระบบโซลาร์เป็นอย่างมาก ซึ่งในระยะหลังได้มีการนำระบบโซลาร์มาใช้ติดตั้งให้กับบ้านพักอาศัย เพื่อเป็นจุดขายสำหรับโครงการบ้านพักอาศัย และรวมถึงการใช้ไฟฟ้าจากระบบโซลาร์ในส่วนกลางของหมู่บ้านที่มีการใช้ไฟในช่วงกลางวัน ซึ่งทิศทางในอนาคต จะมีระบบการซื้อขายไฟในชุมชนเดียวกัน และระหว่างชุมชน ซึ่งจะทำให้การใช้พลังงานแสงอาทิตย์แพร่หลายมากยิ่งขึ้น

       ด้วยเหตุนี้ เอสซีจี โซลาร์รูฟ โซลูชัน” จึงเดินหน้าพัฒนาสินค้าและบริการ เพื่อตอบสนองความนิยมและพฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงไปของผู้บริโภคยุคใหม่อย่างตรงจุด สัมผัสถึงนวัตกรรมขั้นสุดของหลังคาโซลาร์ที่คุณมั่นใจ พร้อมส่งแคมเปญ ‘Home Energy Management” การบริหารจัดการพลังงานในบ้านได้ทั้งหลัง ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์การใช้ไฟฟ้าในบ้านของคนยุคใหม่ได้อย่างครอบคลุม ยกระดับให้การใช้ชีวิตในบ้านเป็น Smart Living’ ด้วยการนำเทคโนโลยีมาเป็นส่วนหนึ่งของการอยู่อาศัย ไม่ว่าจะเป็นโซลาร์รูฟ ที่มีทั้งระบบ On grid เหมาะกับบ้านที่ใช้ไฟในเวลากลางวันเป็นหลัก และระบบ Hybrid ที่ตอบโจทย์ทุกช่วงเวลาของการใช้ชีวิตในบ้าน สามารถกักเก็บไฟฟ้าไว้ใช้ได้ทั้งกลางวัน และกลางคืน  โดยมีแอปพลิเคชันที่สามารถควบคุม ตรวจสอบการผลิตไฟฟ้า และค่าไฟฟ้าที่ประหยัดได้อย่างเรียลไทม์  เพิ่มความสะดวกสบาย และประหยัดพลังงานมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ยังตอบโจทย์เทรนด์การใช้รถยนต์ไฟฟ้าที่เพิ่มมากขึ้น ด้วยการมีสินค้าและบริการอย่างเครื่องชาร์จรถไฟฟ้า หรือ EV Charger ซึ่งเป็นทางเลือกของคนรุ่นใหม่ พร้อมชูจุดแข็งด้วย หัวใจหลัก

1. มั่นใจไร้กังวล โดยมีกระบวนการตรวจสอบความพร้อมของหลังคา (Roof Health Check) เพื่อมั่นใจว่าหลังคามีความพร้อมในการติดตั้งแผงโซลาร์ และยังมั่นใจในความแข็งแรง ไม่รั่วซึมของหลังคา ด้วยนวัตกรรม Solar Fix เอกสิทธิ์เฉพาะเอสซีจี

2. One Stop Service ด้านการให้บริการและการดูแลหลังการขายจากผู้เชี่ยวชาญ ตั้งแต่การตรวจสอบความพร้อมของหลังคาก่อนติดตั้งโซลาร์ ออกแบบ ติดตั้ง และขออนุญาตกับภาครัฐให้อย่างครบวงจร เพื่อให้การติดตั้งโซลาร์ รูฟ เป็นไปตามมาตรฐานและปลอดภัยสำหรับผู้ใช้งาน และยังสามารถลดค่าไฟฟ้าได้สูงสุดถึง 60พร้อมรับประกัน 25 ปีโดยเอสซีจี อีกด้วย

       เอศซีจี โซลาร์รูฟ โซลูัน ตั้งเป้าขยายการเติบโตสู่ในตลาด Solar Rooftop สู่การเป็นผู้นำระบบหลังคาโซลาร์ในตลาด Residential ประเทศไทย ซึ่งคาดการณ์ว่า จากแคมเปญ Home Energy Management จะทำให้ยอดขายในกลุ่มบ้านพักอาศัย ปี 2022 ขยับเติบโตแตะ 300% หรือเทียบ เท่าจากปี 2021 นอกจากนี้ยังมีกลุ่ม SMEs ที่ให้บริการโดยมีสัดส่วนอยู่ที่ 70% ของยอดขายทั้งหมด ทั้งนี้ ด้วยกลยุทธ์ทางการตลาดและการพัฒนาโซลูชัน จะช่วยตอกย้ำความแข็งแกร่งของเอสซีจีสู่ผู้นำด้านระบบหลังคาโซลาร์ เซลล์ แบบครบวงจรในกลุ่มบ้านที่พักอาศัย  และเดินหน้าพัฒนาโซลูชันที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการพลังงานภายในบ้าน โดยตั้งเป้าหมาย ยอดขายที่ 2,000 ล้านบาท ในปี 2023” วิโรจน์ กล่าวปิดท้าย

 

www.smethailandclub.com
ศูนย์รวมข้อมูลธุรกิจเอสเอ็มอี

NEWS & TRENDS