เตือนลงทุนพม่าอย่าช้าอีก 3 ปีค่าแรงพุ่งกระฉูด

นายอัทธ์ พิศาลวานิช คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาการค้าระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยถึงบทวิเคราะห์เรื่อง “การค้าและการลงทุนของพม่า หลังปี 2515” ว่า ต้นทุนการทำธุรกิจในพม่ากำลังมีการปรับตัวสูงขึ้นอย่างผิดปกติ โดยค่าจ้างแรงงาน ในเมืองใหญ่มีค่าจ้างแรงงานต่อวันมากกว่า 120 บาทต่อวัน ขณะที่ในย่างกุ้งอยู่ที่ระดับ 150 บาทต่อวัน ซึ่งไม่รวมค่าสวัสดิการ การรับส่งพนักงาน และอาหารการกินที่ต้องมีให้พนักงาน โดยเชื่อว่าภายในอีก 3 ปีข้างหน้า ค่าแรงในพม่าจะปรับขึ้นสูงถึง 250 บาทต่อวันทั่วประเทศ



นายอัทธ์ พิศาลวานิช คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาการค้าระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยถึงบทวิเคราะห์เรื่อง “การค้าและการลงทุนของพม่า หลังปี 2515” ว่า ต้นทุนการทำธุรกิจในพม่ากำลังมีการปรับตัวสูงขึ้นอย่างผิดปกติ โดยค่าจ้างแรงงาน ในเมืองใหญ่มีค่าจ้างแรงงานต่อวันมากกว่า 120 บาทต่อวัน ขณะที่ในย่างกุ้งอยู่ที่ระดับ 150 บาทต่อวัน ซึ่งไม่รวมค่าสวัสดิการ การรับส่งพนักงาน และอาหารการกินที่ต้องมีให้พนักงาน โดยเชื่อว่าภายในอีก 3 ปีข้างหน้า ค่าแรงในพม่าจะปรับขึ้นสูงถึง 250 บาทต่อวันทั่วประเทศ

ขณะที่ราคาที่ดินก็ปรับเพิ่มสูงขึ้นกว่า 200-300% โดยราคาที่ดินนอกเขตอุตสาหกรรมจะสูงกว่าในเขตอุตสาหกรรม ส่วนราคาซื้อขายและเช่าที่ดินในกรุงย่างกุ้งในปี 2552 อยู่ที่ราคาไร่ละ 15.5 ล้านบาท ในปี 2556 มีราคาอยู่ที่ไร่ละ128 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 450% และในปี 2559 คาดว่าจะมีราคาอยู่ที่ไร่ละ 232 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 900% ส่วนที่ดินในเมืองมัณฑะเลย์ ในปี 2556 มีราคาอยู่ที่ไร่ละ 35.6 ล้านบาท และ ในปี 2559 จะมีราคาสูงขึ้นอยู่ที่ 61.9 ล้านบาทต่อไร่ ส่วนราคาที่ดินในทวาย ในปี 2556 มีราคาอยู่ที่ไร่ละ 110 ล้านบาท และ ในปี 2559 จะมีราคา 140 ล้านบาทต่อไร่ 

สำหรับสัญญาการเช่าที่ดินในกรุงย่างกุ้งในปี 2556 อยู่ที่ราคา 4.5 ล้านบาทต่อไร่ต่อปี ส่วนปี 2559 จะปรับสูงขึ้นอยู่ที่ 8.75 ล้านบาทต่อไร่ต่อปี โดยสัญญาเช่าที่ดินในเขตเศรษฐกิจพิเศษทิลาวาจะมีราคาอยู่ที่ 2.5 ล้านบาทต่อไร่ต่อปี และในเขตทวายมีราคาอยู่ที่ 3.5 แสนบาทต่อไร่ต่อปี

นายอัทธ์ กล่าวว่า จากต้นทุนทางธุรกิจที่เพิ่มขึ้นสวนทางกับดัชนีสิ่งอำนวยความสะดวกทางธุรกิจในพม่า โดยดัชนีโลจิสติกส์พม่า จัดว่าอยู่ในระดับต่ำมาก เทียบกับประเทศต่างๆ ในอาเซียน โดยพม่าอยู่ในระดับ 2.33 ขณะที่กัมพูชาอยู่ที่ 2.37 ลาว 2.46 เวียดนาม 2.96 เช่นเดียวกับการผลิตไฟฟ้าพบว่ายังเป็นอุปสรรคต่ออุตสาหกรรมและครัวเรือน สอดคล้องกับเครือข่ายโทรศัพท์ ที่ยังไม่ครอบคลุมเพียงพอ โดยราคาซิมการ์ดสำหรับคนพม่า เฉลี่ยอยู่ที่ 250-300 ดอลลาร์ต่อเดือน ขณะที่ชาวต่างชาติ เฉลี่ยที่ 20 ดอลลาร์ต่อเดือน

อย่างไรก็ตาม แม้พม่าจะน่าลงทุน แต่จำเป็นต้องคำนึงถึงด้านประสิทธิภาพและความโปร่งใสของพม่าที่ยังอยู่ในระดับต่ำด้วย โดยการพิจารณาของธนาคารโลก เมื่อปี 2554 ซึ่งพิจารณา จากเกณฑ์ด้านความรับผิดชอบของภาครัฐ ความมีเสถียรภาพทางการเมือง คุณภาพของกติกาภายในประเทศ กฎหมาย คอร์รัปชัน การปราศจากความรุนแรง โดยพบว่าพม่าอยู่ในระดับต่ำกว่า เกาหลีเหนือ กัมพูชา บังกลาเทศ และเวียดนาม นอกจากนี้ พม่ายังติดบัญชีดำประเทศที่มีความเสี่ยงสูง ภายใต้คณะทำงานเฉพาะกิจเพื่อการดำเนินมาตรการทางการเงินเกี่ยวกับการฟอกเงิน (Financial Action Task Force : FATF)

"หากรัฐบาลไทยและรัฐบาลพม่าร่วมกันเจรจาแก้ปัญหาที่เป็นอุปสรรคดังกล่าวได้ จะเป็นประโยชน์ต่อการทำธุรกิจของไทยมาก โดยเฉพาะผู้ประกอบการเอสเอ็มอีที่ต้องการขยายตลาดไปยังพม่า เพราะแนวโน้มการขยายตัวของจีดีพีพม่า ยังสูงขึ้นต่อเนื่อง คาดว่าปี 2558-2563 จีดีพีพม่าจะขยายตัวประมาณ 7.6% ต่อปี ชี้ให้เหตุถึงศักยภาพของตลานี้"นายอัทธ์ กล่าว

NEWS & TRENDS