พาณิชย์ทุ่มงบดันโอทอป SMEs ลงห้าง-ขายออนไลน์

พาณิชย์เร่งเครื่องดันโครงการพัฒนาศักยภาพการตลาดให้กับผลิตภัณฑ์ OTOP ดึงสมาคมค้าปลีกเปิดช่องทางในห้างดังเพื่อก้าวสู่ตลาดในและต่างประเทศ พร้อมอัดฉีดงบอีก 9 ล้านอบรมผู้ประกอบการเปิดช่องทางค้าบนโลกออนไลน์

 


พาณิชย์เร่งเครื่องดันโครงการพัฒนาศักยภาพการตลาดให้กับผลิตภัณฑ์ OTOP ดึงสมาคมค้าปลีกเปิดช่องทางในห้างดังเพื่อก้าวสู่ตลาดในและต่างประเทศ พร้อมอัดฉีดงบอีก 9 ล้านอบรมผู้ประกอบการเปิดช่องทางค้าบนโลกออนไลน์

นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวภายหลังเป็นประธานเปิดโครงการพัฒนาศักยภาพการตลาดหนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ และพิธีลงนามบันทึกความร่วมมือกับสมาคมผู้ค้าปลีกไทยในการขยายตลาดสู่ช่องทางการค้าปลีกและกำหนดแผนการตลาดพัฒนาสินค้ารูปแบบใหม่ รวมทั้งส่งเสริมช่องทางการตลาดไปจำหน่ายทั้งในและต่างประเทศ ว่า กระทรวงพาณิชย์พร้อมให้การสนับสนุน ส่งเสริม ในการพัฒนาศักยภาพการตลาดเพื่อยกระดับสินค้าโอท็อปและกลุ่มผู้ประกอบการให้เป็นอุตสาหกรรมระดับเอสเอ็มอี เพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับชุมชนมีรายได้เพิ่มขึ้นและมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ซึ่งเป็นนโยบายสำคัญของรัฐบาล  

จึงได้เกิดความร่วมมือกับสมาคมค้าปลีกไทย เพื่อร่วมมือกันพัฒนาศักยภาพด้านการตลาดผลิตภัณฑ์โอท็อป สู่ช่องทางการจำหน่ายปลีกในแผนกดีพาร์ตเมนต์สโตร์ ซูเปอร์มาร์เก็ต รวมถึงการส่งเสริมผ่านช่องทางสื่อออนไลน์หรืออินเตอร์เน็ต( อี-คอมเมิร์ซ)  

"ความร่วมมือกันนี้น่าจะช่วยผลักดันให้สินค้าโอท็อปของไทย ได้รับการยอมรับจากตลาดทั้งในและต่างประเทศเพิ่มขึ้นมากขึ้น เชื่อว่าน่าจะสร้างรายได้ให้เพิ่มขึ้นหลายเท่าตัว"นายบุญทรงกล่าวและว่า จากมูลค่าการส่งออกสินค้าในปี 2555 กว่า 1 แสนล้านบาทเป็นสินค้าโอท็อปประมาณ 10-20% แต่ในอีก 5 ปีคาดว่าจะสามารถเพิ่มมูลค่าการค้าได้มากกว่าเท่าตัว

นายบุญทรงกล่าวว่า กระทรวงยังได้รับความร่วมมือจากผู้ประกอบการปลีกรายใหญ่หลายราย ได้แก่ ห้างเซ็นทรัล เดอะมอลล์  เทสโก้-โลตัส บิ๊กซีและตั้งฮั่วเส็ง ในการให้ความรู้ในด้านการเจรจาธุรกิจระหว่างผู้ประกอบการและผู้ค้าปลีกในการเข้าสู่ช่องทางการจัดจำหน่าย

ขณะเดียวกันกระทรวงพาณิชย์โดย นางวัชรี วิมุกตายน ปลัดกระทรวง เผยว่า ได้จัดสรรงบประมาณ 9 ล้านบาทสำหรับโครงการพัฒนาและอบรมผู้ประกอบการเอสเอ็มอีและสินค้าผลิตภัณฑ์ชุมชน (โอท็อป) ให้สามารถทำธุรกิจค้าขายสินค้าผ่านอินเทอร์เน็ต (อี-คอมเมิรซ์) รวมถึงการสร้างร้านค้าออนไลน์  โดยตั้งเป้าหมายว่า จะมีผู้ประกอบการเข้ามาเปิดเว็บไซต์และขายสินค้าได้จริงประมาณ 240 ราย และมียอดขายได้เพิ่มขึ้นจากช่องทางปกติ 20% จากในปี 55 ที่มีผู้ประกอบการขายสินค้าออนไลน์ได้จริง 200 ราย  

"ต้องยอมรับว่า ปัจจุบันอินเตอร์เน็ตเข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันและมีอัตราการใช้งานที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว  และถูกนำมาใช้เป็นช่องทางแพร่หลายมากขึ้น และอินเตอร์เน็ตยังเป็นช่องทางที่ใช้เงินลงทุนต่ำ สามารถเจาะกลุ่มเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ เป็นประโยชน์ต่อเอสเอ็มอีในยุคปัจจุบัน"

นอกจากนี้การทำตลาดบนอินเตอร์เน็ตหรือ อี-คอมเมิรซ์ ยังมีจุดดีสามารถแยกแยะกลุ่มสินค้าชัดเจน ทำให้สามารถขายตลาดเฉพาะได้ เป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้า และยังสามารถลดต้นทุนให้กับผู้ประกอบการที่ไม่มีทุนในการเปิดหน้าร้านของตัวเอง รวมถึงไม่สามารถจ่ายค่าธรรมเนียมในการวางสินค้าห้างสรรพสินค้า ที่สำคัญมูลค่าตลาดอี-คอมเมิร์ซในปัจจุบัน มีมูลค่ามากถึง 6.2 หมื่นล้านบาท ขณะมีผู้ประกอบการเข้ามาจดทะเบียนกับกระทรวงพาณิชย์แล้ว 9,993 เว็บไซต์

นางวัชรีกล่าวว่า การเปิดตลาดสินค้าโอทอปผ่านช่องทางอี-คอมเมิรซ์ ยังเป็นการเตรียมความพร้อมรอบรับการเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) ในปี 58 ที่ประเทศทั้ง 10 ชาติสมาชิกอาเซียนจะมีการค้าขายกันมากขึ้น ทั้งจากการลดภาษีสินค้า บริการ และการลงทุน โดยผู้ประกอบการไทยสามารถใช้ช่องทางอินเตอร์เน็ตในการติดต่อสื่อสารกับลูกค้าทั้งจากอาเซียน จนไปถึงการค้าติดต่อสื่อสารกับประเทศอื่นๆทั่วโลก ซึ่งจะเป็นอีกหนึ่งเครื่องมือที่จะทำให้เอสเอ็มอีไทยทำการค้าขายกับต่างประเทศได้ง่ายขึ้น

 

NEWS & TRENDS