อุตฯเร่งศึกษาหวังเพิ่มศักยภาพคลัสเตอร์ไทยสู้ตลาด AEC

นับเป็นโอกาสดีของการพัฒนาอุตสาหกรรมไทย เมื่อประเทศไทยจะเข้าสู่การเป็นประเทศสมาชิกประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือ AEC ในปี 2558 ซึ่งจะเป็นผลดีต่อกลุ่มประเทศสมาชิกทั้ง 10 ประเทศและประเทศไทย ที่จะสามารถเคลื่อนย้ายปัจจัยการผลิต และร่วมกันสร้างความเข้มแข็งในด้านของการแข่งขันให้แก่ภาคอุตสาหกรรมไทยด้วย

 


สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) กระทรวงอุตสาหกรรม ได้ร่วมมือกับมหาวิทยาลัยนเรศวร จังหวัดพิษณุโลก ร่วมกันศึกษา วิเคราะห์ การพัฒนาคลัสเตอร์อุตสาหกรรมไทยที่มีศักยภาพ เพื่อนำมาสู่การวิเคราะห์จุดแข็ง จุดอ่อน โอกาส และปัญหา/อุปสรรคในการพัฒนาคลัสเตอร์อุตสาหกรรมของไทย ที่จะมีผลกระทบจากความเปลี่ยนแปลงและกรอบความร่วมมือในภูมิภาคอาเซียนต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการก้าวสู่การเป็น AEC ที่ส่งผลต่อภาคอุตสาหกรรมและคลัสเตอร์อุตสาหกรรมของไทย โดยจะทำการคัดเลือกคลัสเตอร์อุตสาหกรรมนำร่อง 2 อุตสาหกรรม เพื่อจัดทำข้อเสนอแนะเชิงยุทธศาสตร์ ตลอดจนแนวทางการพัฒนาและเชื่อมโยงคลัสเตอร์อุตสาหกรรมในภูมิภาคอาเซียน

ตลอดระยะเวลาการดำเนินโครงการที่ผ่านมานั้น ทีมที่ปรึกษาของมหาวิทยาลัยนเรศวรได้ศึกษาวิเคราะห์ข้อมูลจากหลายแห่ง เช่น การสัมภาษณ์ การศึกษาข้อมูลเดิมในงานวิจัยที่มีอยู่ ซึ่งพบว่า คลัสเตอร์อุตสาหกรรมของไทยที่มีความเข้มแข็งและมีศักยภาพในการรวมกลุ่มนั้นมีอยู่ด้วยกันหลายคลัสเตอร์ หากแต่ที่ได้คัดเลือกมาสู่การจัดทำแนวทางการพัฒนานำร่องในปีงบประมาณ พ.ศ.2556 คือ คลัสเตอร์อุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์ไม้และเครื่องเรือน และคลัสเตอร์อุตสาหกรรมสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม

โดยเหตุที่ “อุตสาหกรรมไม้และเครื่องเรือน” เป็นอุตสาหกรรมที่สร้างมูลค่าเพิ่มและมีความเชื่อมโยงกับอุตสาหกรรมเครื่องตกแต่งบ้านและอุตสาหกรรมบริการโรงแรม โดยใช้วัตถุดิบในประเทศและใช้แรงงานเข้มข้น ผลิตเพื่อส่งออกเป็นหลัก ผู้ผลิตไม้และเครื่องเรือนส่วนใหญ่เป็นผู้ผลิตขนาดกลางและขนาดเล็ก การผลิตไม้และเครื่องเรือนร้อยละ 80 เป็นการรับจ้างผลิตตามแบบที่ลูกค้ากำหนด โดยลูกค้าเป็นผู้นำตัวอย่างมาให้ รองลงมาเป็นการผลิตโดยโรงงานเป็นผู้ออกแบบเอง แต่อาจมีการปรับปรุงตามแบบที่ลูกค้าเสนอบ้าง และมีโรงงานน้อยรายที่สามารถผลิตภายใต้แบบหรือตราสินค้า (Brand) ของตนเอง แต่ยังไม่เป็นที่ยอมรับอย่างแพร่หลายในตลาดโลกมากนัก

อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบันการส่งออกไม้และเครื่องเรือนจะเติบโตตามการขยายตัวของเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าหลัก ได้แก่ สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น และสหราชอาณาจักร โดยในปี 2554 ไม้และเครื่องเรือนมีมูลค่าส่งออกรวม 3,029.52 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เมื่อเทียบกับปีก่อนเพิ่มขึ้นร้อยละ 12.68 ซึ่งเป็นไปตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าหลักของไทย นอกจากนี้ การส่งออกไม้และเครื่องเรือนยังสามารถขยายตัวได้ดีในตลาดรองของไทย ได้แก่ ออสเตรเลีย อินเดีย ประเทศแถบตะวันออกกลาง และประเทศสมาชิกอาเซียน

ในส่วนของ “อุตสาหกรรมสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม” อุตสาหกรรมสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่มไทยเป็นสาขาการผลิตที่สร้างรายได้ผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติในระดับสูง มีขนาดของมูลค่าเพิ่มภาคอุตสาหกรรมใหญ่อยู่ในลำดับ 4 รองจากอุตสาหกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ อุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม และอุตสาหกรรมยานยนต์ ตามลำดับขณะเดียวกันยังเป็นสาขาการผลิตสำคัญที่มีการจ้างงานสูงและมีดัชนีผลิตภาพแรงงานที่พัฒนาเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

การดำเนินงานในลำดับต่อไปของโครงการ คือ การนำแนวทางการพัฒนาคลัสเตอร์อุตสาหกรรมนำร่องทั้งสองอุตสาหกรรม มาเป็นต้นแบบในการศึกษาการรวมกลุ่มและการจัดการทรัพยากร เพื่อเป็นแบบอย่างการพัฒนาให้กับคลัสเตอร์อุตสาหกรรมอื่นๆ ของไทยเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน โดยเมื่อมีการเปิดประตูการค้าในเวที AEC แล้วนั้น ย่อมมีการขนถ่ายปัจจัยในการผลิต ทั้งแรงงาน วัตถุดิบ และเงินทุน ซึ่งเป็นโอกาสในการลดต้นทุนของการผลิตในภาคอุตสาหกรรม 

ประกอบกับการพัฒนาเส้นทางการค้าต่างๆ ในภูมิภาค อันจะนำมาซึ่งผลประกอบการที่สูงขึ้น จึงเป็นที่น่าจับตามองสำหรับพลวัตภายในภูมิภาคอาเซียนที่ท้าทายความพร้อมของภาคอุตสาหกรรมไทยในการดึงศักยภาพที่มีอยู่ออกมา ควบคู่ไปกับการพัฒนาผู้ประกอบการให้เกิดความแข็งแกร่งในเชิงกลยุทธ์ รวมทั้งภาครัฐของไทยจะมีแนวนโยบายในการขับเคลื่อนภาคอุตสาหกรรมให้ก้าวต่อไปได้อย่างเข้มแข็งและมีบทบาทในการเป็นผู้เชื่อมโยงภายในภูมิภาค หรือในฐานะ ASEAN Connectivity ได้อย่างไรต่อไป


 

NEWS & TRENDS