นายวิเชษฐ วรกุล รักษาการผู้จัดการทั่วไป บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) เปิดเผยว่า โครงการค้ำประกันสินเชื่อให้เอสเอ็มอี หรือจีพีเอสระยะที่5 วงเงิน 240,000 ล้านบาท เริ่มโครงการตั้งแต่ปี 56-58 ระยะเวลาค้ำประกัน 7 ปี โดยตั้งแต่เปิดโครงการตั้งแต่เดือนก.พ.จนถึงปัจจุบันได้เข้าไปค้ำประกันแล้ว 40,000 ล้านบาท และที่เหลืออีก 200,000 ล้านบาท เชื่อว่าเพียงพอที่จะสามารถกระตุ้นเศรษฐกิจ
นายวิเชษฐ วรกุล รักษาการผู้จัดการทั่วไป บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) เปิดเผยว่า โครงการค้ำประกันสินเชื่อให้เอสเอ็มอี หรือจีพีเอสระยะที่5 วงเงิน 240,000 ล้านบาท เริ่มโครงการตั้งแต่ปี 56-58 ระยะเวลาค้ำประกัน 7 ปี โดยตั้งแต่เปิดโครงการตั้งแต่เดือนก.พ.จนถึงปัจจุบันได้เข้าไปค้ำประกันแล้ว 40,000 ล้านบาท และที่เหลืออีก 200,000 ล้านบาท เชื่อว่าเพียงพอที่จะสามารถกระตุ้นเศรษฐกิจ
นอกจากนี้ บสย. ยังพร้อมเข้าไปค้ำประกันสินเชื่อเป็นรายกลุ่มอุตสาหกรรมมากขึ้น โดยเฉพาะผู้รับเหมาก่อสร้าง เพื่อให้ผู้ประกอบการมีเงินทุนหมุนเวียนในการบริหารงาน และรองรับการลงทุนโครงการขนาดใหญ่ของรัฐ เช่น โครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของรัฐบาลวงเงิน 2 ล้านล้านบาทในอนาคต ตลอดจนโครงการบริหารจัดการน้ำ 350,000 ล้านบาท ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายของรัฐที่ต้องการให้ภาคธุรกิจเข้าถึงแหล่งเงินทุนมากขึ้น อย่างไรก็ตาม ตั้งเป้าหมายไว้ว่าในปีนี้จะค้ำประกันสินเชื่อไว้ที่ 84,000 ล้านบาท จากปัจจุบันตัวเลขค้ำประกันไปแล้ว 55,000 ล้านบาท คิดเป็นลูกค้า 17,000 ราย
“ เราไม่ได้กลัวหนี้เสีย เพราะการเข้าไปค้ำประกัน เพื่อต้องการให้ภาคธุรกิจมีสภาพคล่อง และสามารถประกอบกิจการต่อไปได้ เช่น น้ำท่วมช่วงปลายปี 54 ที่ผ่านมาได้เข้าไปค้ำประกันสินเชื่อให้กับผู้ประกอบการทั่วไปวงเงินถึง 28,000 ล้านบาท เนื่องจากบสย.ดูในเรื่องความอยู่รอด รักษาสภาพงานให้ได้มากที่สุด โดยหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้หรือเอ็นพีแอลปีนี้คาดว่าจะอยู่ที่ 4.2% ”
รายงานข่าวแจ้งว่า ตัวเลขค้ำประกัน สินเชื่อเพื่อธุรกิจให้กับผู้ประกอบการกลุ่มรับเหมา-ก่อสร้าง ตั้งแต่เดือนม.ค.-ส.ค.มี 967 ราย วงเงิน 3,097 ล้านบาท จากวงงเงินขอสินเชื่อ จากธนาคารพาณิชย์ 11 แห่ง รวมเป็นเงิน 4,596 ล้านบาท ซึ่งปี 55 ที่ผ่านมาบสย.ได้อนุมัติวงเงินค้ำประกันสินเชื่อสำหรับผู้ประกอบการกลุ่มรับเหมา-ก่อสร้าง สูงสุด ในรอบ 4 ปี นับตั้งแต่ปี 52 จากธนาคารทั้งหมด 12 ธนาคาร มีผู้ขอค้ำประกัน รวม 1,298 ราย วงเงิน 4,139 ล้านบาท.
