ส.อ.ท.เผยดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมส่งท้ายปี 2556 ดิ่งเหว ต่ำสุดในรอบ 2 ปี 1 เดือน เอกชนกังวลความขัดแย้งทางการเมืองรุนแรง วอนทุกฝ่ายหาทางออกโดยเร็ว ด้านการผลิตรถยนต์หลุดเป้าหมายที่ 2.25 ล้านคัน คาดปี 2557 ตลาดโลกฟื้นเตรียมปรับสัดส่วนไปส่งออกให้มากขึ้น
ส.อ.ท.เผยดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมส่งท้ายปี 2556 ดิ่งเหว ต่ำสุดในรอบ 2 ปี 1 เดือน เอกชนกังวลความขัดแย้งทางการเมืองรุนแรง วอนทุกฝ่ายหาทางออกโดยเร็ว ด้านการผลิตรถยนต์หลุดเป้าหมายที่ 2.25 ล้านคัน คาดปี 2557 ตลาดโลกฟื้นเตรียมปรับสัดส่วนไปส่งออกให้มากขึ้น
นายพยุงศักดิ์ ชาติสุทธิผล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า ดัชนีความเชื่อมั่นอุตสาหกรรมเดือน ธ.ค.2556 อยู่ที่ระดับ 88.3 ปรับตัวลดลงจากระดับ 90.3 ในเดือน พ.ย.2556 ซึ่งเป็นค่าดัชนีที่ปรับตัวลดลงต่ำสุดในรอบ 25 เดือน นับตั้งแต่เดือน ธ.ค.2554 เนื่องจากผู้ประกอบการทุกกลุ่มยังกังวลความขัดแย้งทางการเมือง และมองว่าความไม่สงบทางการเมืองไม่สามารถคลี่คลายได้ในระยะเวลาอันสั้น ซึ่งปัญหาการเมืองส่งผลกระทบให้เกิดการชะลอตัวของกิจกรรมเศรษฐกิจ การใช้จ่ายภายในประเทศ รวมทั้งกระทบต่อประเทศคู่ค้าที่ชะลอคำสั่งซื้อ ประกอบกับต้นทุนการผลิต และราคาพลังงานที่ปรับตัวสูงขึ้น ยังเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อค่าดัชนีในเดือน ธ.ค.นี้
ส่วนดัชนีความเชื่อมั่นอุตสาหกรรมคาดการณ์ 3 เดือนข้างหน้าอยู่ที่ระดับ 100.9 ลดลงจากระดับ 101.4 ในเดือน พ.ย.2556 หลังจากที่ยอดคำสั่งซื้อโดยรวมลดลง ยอดขายรวมลดลง แต่ต้นทุนผู้ประกอบการปรับเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบการต้องการให้ภาครัฐแก้ปัญหาความขัดแย้งทางการเมือง และหาทางออกจากวิกฤติทางการเมืองด้วยสันติวิธีโดยเร็วที่สุด รวมทั้งต้องการให้ภาครัฐกระตุ้นการใช้จ่ายภายในประเทศ ส่งเสริมสินเชื่อเพื่อปรับปรุงเครื่องจักร เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตให้กับผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี) รวมทั้งให้บริหารจัดการด้านพลังงานอย่างยั่งยืน
ส่วนการปิดพื้นที่กรุงเทพฯ ของกลุ่ม กปปส. แม้จะยังไม่มีความรุนแรงเกิดขึ้น แต่ได้ส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจของภาคเอกชน ทั้งการทำธุรกรรมและการขนส่งสินค้า ทำให้มีต้นทุนการทำธุรกิจเพิ่มขึ้น ผู้ประกอบการจึงต้องปรับตัวปฏิบัติตามแผนสถานการณ์ฉุกเฉิน เช่น ปรับเส้นทางการขนส่งสินค้า ย้ายสถานที่ทำงานและหาท่าเรือสำรองสำหรับการส่งออก หากยืดเยื้อก็จะส่งผลกระทบต่อสภาพคล่องของผู้ประกอบการ โดยเฉพาะกลุ่มเอสเอ็มอีที่มีต้นทุนในการดำเนินกิจการน้อย จึงอยากให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องเร่งเจรจาเพื่อหาทางออกร่วมกันโดยเร็วที่สุด