กกร.งัดสารพัดมาตรการช่วยเหลือเอสเอ็มอีที่ซมพิษการเมือง โดยให้แบงก์ผ่อนปรนเงินกู้ เพิ่มเงินหมุนเวียน ด้านสอท.รับหน้าช่วยหาออเดอร์ป้อน เร่งเปิดตลาดชายแดน เดินสายแจงนักลงทุนต่างชาติเพื่อดึงความเชื่อมั่น
กกร.งัดสารพัดมาตรการช่วยเหลือเอสเอ็มอีที่ซมพิษการเมือง โดยให้แบงก์ผ่อนปรนเงินกู้ เพิ่มเงินหมุนเวียน ด้านสอท.รับหน้าช่วยหาออเดอร์ป้อน เร่งเปิดตลาดชายแดน เดินสายแจงนักลงทุนต่างชาติเพื่อดึงความเชื่อมั่น
นายพยุงศักดิ์ ชาติสุทธิผล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (สอท.) ในฐานะประธานคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) เปิดเผยว่าเมื่อวันที่ 3 มกราคม 2557 ที่ประชุมกกร. ประกอบด้วย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย( สอท.) สภาหอการค้าไทย และสมาคมธนาคารไทย ได้หารือถึงมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม หรือ SMEs ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ทางการเมือง
โดยเสนอให้สมาคมธนาคารไทย ออกมาตรการผ่อนปรนด้านสินเชื่อให้เอสเอ็มอี ที่ได้รับผลกระทบ ในช่วง 6 เดือนที่ยังไม่สามารถตั้งรัฐบาลได้ เพื่อให้มีวงเงินหมุนเวียนทำธุรกิจต่อไปได้ และขยายการคืนเงินสินเชื่อผ่อนชำระรายเดือนออกไปอีก 1 ปี เป็นต้น
ขณะที่สอท. จะประสานงานไปยังกลุ่มอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ที่มีความพร้อมทั้งด้านเงินทุน และเทคโนโลยี ให้หามาตรการต่างๆ เข้ามาช่วยเหลือเอสเอ็มอี ในกลุ่มซัพพลายเชนของตัวเอง เช่น เพิ่มคำสั่งซื้อให้กับเอสเอ็มอี เพื่อทดแทนคำสั่งซื้อที่หายไปและเพิ่มเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินกิจการ รวมทั้งการให้เงินทุนไปซื้อวัตถุดิบ เพื่อผลิต สินค้าป้อนโรงงานขนาดใหญ่ เป็นต้น
รวมทั้งตั้งศูนย์ Hotline 0-2345-1165 รับเรื่องร้องเรียนจากเอสเอ็มอีที่ได้รับผลกระทบและให้ความรู้ในการลดต้นทุนผลิตสินค้า รวมทั้งการเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตสินค้า และการหาช่องทางการจำหน่ายเพิ่มเติม ซึ่งจะให้ความรู้เป็นพื้นที่ที่ หรืเป็นกลุ่มอุตฯเพื่อเป็นตัวอย่างให้ผู้ประกอบการรายอื่นๆนำไปปรับใช้ รวมทั้งพยายามสร้างบรรยากาศให้เกิดความเชื่อมั่นในการลงทุนในประเทศ
นายพยุงศักดิ์ กล่าวว่า สถานการณ์ภายหลังการเลือกตั้งขณะนี้ยังไม่ทราบว่าจะได้รัฐบาลเมื่อไหร่ หากยืดเยื้อนานหรือมีเหตุการณ์รุนแรงก็จะส่งผลกระทบต่ออัตราการขยายตัวทางด้านเศรษฐกิจหรือผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ(จีดีพี)หากยืดเยื้อถึงสิ้นปีก็จะกระทบจีดีพี 2% คิดเป็นมูลค่าประมาณ 2.4 แสนล้านบาท รวมทั้งขณะนี้การขอการลงทุนจากคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน(บีโอไอ)ก็ไม่สามารถทำได้เนื่องจากไม่มีคณะกรรมการ พิจารณา ทำให้การลงทุนของภาคเอกชนลดลง รวมทั้งนักลงทุนต่างชาติต่างชะลอการลงทุนในไทย หรืออาจจะย้ายไปลงทุนในประเทศเพื่อนบ้าน เห็นได้จากการลงทุนในเวียดนาม อินโดนีเซียที่สูงขึ้นมากกว่าปกติ กกร.จะพยายามชี้แจงผ่านเวทีต่างๆเพื่อสื่อสารให้นักลงทุนต่างชาติเข้าใจ
นายอิสระ ว่องกุศลกิจ ประธานสภาหอการค้าแห่งประเทศไทยยอมรับว่าสถานการณ์ปัจจุบันย่อมกระทบต่อภาคการบริโภค กระทบธุรกิจด้านบริการ โรงแรม ร้านอาหาร ดังนั้นผู้ประกอบการต้องปรับตัว รวมทั้งผู้ประกอบการส่งออกที่ปัญหาการเมืองอาจกระทบต่อความเชื่อมั่น ในการขายสินค้า ดังนั้นต้องหาตลาดใหม่ เน้นการค้าชายแดนให้มากขึ้น เบื้องต้นเอกชนจะประสานกับกระทรวงการต่างประเทศกระทรวงพาณิชย์ในการเดินหน้าเปิดตลาดค้าชายแดน จัดงานแสดงสินค้า ส่งสินค้าจากส่วนกลางเข้าไปจำหน่ายเพื่อระบายสต๊อก ที่ค้างอยู่ อาทิ เครื่องใช้ไฟฟ้า นอกจากนี้จะประสานกับกระทรวงมหาดไทยในการนำสินค้าผลิตภัณฑ์ชุมชน(โอท็อป) ออกจำหน่ายเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการทางหนึ่ง “ปัญหาที่กังวลคือความเชื่อมั่นอาจทำให้นักลงทุนชะลอการตัดสินใจหรือย้ายประเทศลงทุนไปยังประเทศที่มีโครงสร้างพื้นฐานใกล้เคียงกับไทย ดังนั้นจึงควรยุติความขัดแย้งได้แล้ว”
นายชาติศิริ โสภณพนิช ประธานสมาคมธนาคารไทย กล่าวยืนยันว่าธนาคารพร้อมที่จะดูแลสภาพคล่องให้กับผู้ประกอบการอย่างเต็มที่ ซึ่งจากการประชุมของสมาคมฯที่ผ่านมา แต่ละธนาคารจะเข้าไปดูแลลูกค้าแต่ละราย เบื้องต้นอาจมีการเพิ่มสภาพคล่อง หรือขยายระยะเวลาชำระหนี้ให้ ซึ่งจะพิจารณา เป็นรายๆ ไปเพื่อให้การช่วยเหลือมีประสิทธิภาพและไม่เป็นความเสี่ยงต่อธนาคาร
ที่มา : แนวหน้า