กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม ประเมิน กลุ่มอัญมณี สินค้าโอท็อป อ่วมหลังนักท่องเที่ยวลดลง แนะ เอสเอ็มอี ลดต้นทุน ลดสต๊อก เพิ่มช่องทางการขายเพื่ออยู่รอด พร้อมเดินหน้าเจรจา สถาบันการเงินออกมาตรการเสริมสภาพคล่อง
กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม ประเมิน “กลุ่มอัญมณี –สินค้าโอท็อป” อ่วมหลังนักท่องเที่ยวลดลง แนะ “เอสเอ็มอี” ลดต้นทุน ลดสต๊อก เพิ่มช่องทางการขายเพื่ออยู่รอด พร้อมเดินหน้าเจรจา “สถาบันการเงิน”ออกมาตรการเสริมสภาพคล่อง
นางอรรชกา สีบุญเรือง อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม (กสอ.) กระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า การชุมนุมทางการเมืองตลอดช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา ในเขตกรุงเทพฯชั้นใน ส่งผลกระทบต่อภาคอุตสาหกรรม โดยเฉพาะผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม(เอสเอ็มอี)ขณะที่การบริโภคของประชาชนลดลง อีกทั้งเอสเอ็มอีไม่มีกำลังคนและเงินทุนเพียงพอที่จะแบกรับสถานการณ์ที่ยืดเยื้อ
ทั้งนี้พบว่า เอสเอ็มอีกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมท่องเที่ยว เป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด คือกลุ่มอุตสาหกรรมอัญมณี และเครื่องประดับได้รับผลกระทบโดยตรงต่อการท่องเที่ยวต่างชาติเข้าไทยที่ลดลง โดยแบ่งเป็นสองส่วน คือ การค้าภายในประเทศกว่าครึ่งจะผูกกับกลุ่มทัวร์และนักท่องเที่ยว เพราะปกติจะขายดีในช่วง พฤศจิกายน-กุมภาพันธ์ 2557 ในขณะที่การส่งออกที่ต้องอาศัยกิจกรรมส่งเสริมการขายผ่านการจัดงานแสดงสินค้า(บางกอกเจมส์) ซึ่งกำหนดจัดปลายเดือนกุมภาพันธ์ ซึ่งขณะนี้มีการยกเลิกการจองการเข้าร่วมงานแล้วประมาณ 10%
ส่วนกลุ่มสินค้าหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์(โอท็อป) ปกติจะมียอดขายในช่วงปลายปีถึง 70% แต่เมื่อเกิดสถานการณ์การชุมชนขึ้น ทำให้บรรยากาศซื้อสินค้าในกลุ่มนี้ได้รับผลกระทบรุนแรง รองลงมา คือ กลุ่มอุตสาหกรรมอาหาร เนื่องจากจำนวนนักท่องเที่ยวลดน้อยลง ทำให้กำลังซื้อหายไป ขณะนี้อยู่ระหว่างการประเมินผลกระทบเพื่อหาแนวทางเข้าไปช่วยเหลือผู้ประกอบการ ในขณะที่กลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วนยานยนต์และชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ไม่ได้รับผลกระทบ
อย่างไรก็ดี ในภาพรวมเอสเอ็มอี ส่วนใหญ่ทั้งประเทศยังคงดำเนินกิจการไปได้ด้วยดี โดยเฉพาะจังหวัดที่เป็นแหลงท่องเที่ยวสำคัญ เช่น เชียงใหม่ ดังนั้น ในส่วนของผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบต้องปรับตัว ลดต้นทุน และค่าใช้จ่ายที่จำเป็นลง รวมทั้งลดการสต๊อกสินค้า เพื่อป้องกันความเสี่ยง ใช้แรงงานที่มีอยู่ให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้น ปรับปรุงเครื่องจักร พัฒนาบุคลากรและควรเพิ่มช่องทางการขายสินค้า เช่น ขายทางโทรศัพท์และขายสินค้าแบบออนไลน์มากขึ้น และควรพิจารณาขายตลาดออกไปสู่ประเทศในประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนหรือ เออีซี