นายพัชร สมะลาภา รองกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยว่า ธนาคารได้ช่วยเหลือลูกค้าเอสเอ็มอีที่มีปัญหาสภาพคล่องด้วยการยืดระยะเวลาชำระหนี้ออกไป 3- 6 เดือนแล้ว ประมาณ 85 ราย วงเงินสินเชื่อรวมประมาณ 2,700 ล้านบาท หลังจากเกิดปัญหาการเมืองทำให้เกิดผลกระทบเป็นลูกโซ่ต่อธุรกิจ เช่น ชาวนาไม่ได้รับเงินจากการนำข้าวหลังจากนำข้าวเข้าโครงการจำนำทำให้ไม่มีเงินซื้อวัตถุดิบการเกษตร ขณะที่ธุรกิจรับเหมาก่อสร้างติดขัดปัญหาการเบิกจ่ายจากหน่วยงานรัฐล่าช้า ส่วนธุรกิจท่องเที่ยวและโรงแรมที่อยู่ในพื้นที่การชุมนุมมีนักท่องเที่ยวเข้ามาเที่ยวและจองห้องพักลดลงส่งผลกระทบต่อรายได้ของผู้ประกอบการ
นายพัชร สมะลาภา รองกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยว่า ธนาคารได้ช่วยเหลือลูกค้าเอสเอ็มอีที่มีปัญหาสภาพคล่องด้วยการยืดระยะเวลาชำระหนี้ออกไป 3- 6 เดือนแล้ว ประมาณ 85 ราย วงเงินสินเชื่อรวมประมาณ 2,700 ล้านบาท หลังจากเกิดปัญหาการเมืองทำให้เกิดผลกระทบเป็นลูกโซ่ต่อธุรกิจ เช่น ชาวนาไม่ได้รับเงินจากการนำข้าวหลังจากนำข้าวเข้าโครงการจำนำทำให้ไม่มีเงินซื้อวัตถุดิบการเกษตร ขณะที่ธุรกิจรับเหมาก่อสร้างติดขัดปัญหาการเบิกจ่ายจากหน่วยงานรัฐล่าช้า ส่วนธุรกิจท่องเที่ยวและโรงแรมที่อยู่ในพื้นที่การชุมนุมมีนักท่องเที่ยวเข้ามาเที่ยวและจองห้องพักลดลงส่งผลกระทบต่อรายได้ของผู้ประกอบการ
“หวังว่าให้ปัญหาการเมืองคลี่คลายโดยเร็ว เพราะธนาคารมีฐานลูกค้าเอสเอ็มอีที่อยู่ในพื้นที่ชุมนุมทางการเมืองประมาณ 17,500 ราย เป็นกลุ่มเสี่ยงจะกระทบสูงประมาณ 500 ราย คิดเป็นยอดสินเชื่อคงค้าง 3,500 ล้านบาทหรือ 0.72% ของพอร์ตสินเชื่อเอสเอ็มอีรวมที่มีอยู่ประมาณ 500,000 ล้านบาท”
นอกจากนี้ พบว่ายอดการเบิกใช้สินเชื่อเดือนม.ค.ที่ผ่านมาของธนาคารปรับตัวลดลงจากเดือนธ.ค.56 จากปัจจัยด้านฤดูกาลและปัจจัยพิเศษ เนื่องจากผู้ประกอบการบางส่วนไม่มั่นใจต่อภาวะเศรษฐกิจในระยะข้างหน้าจึงชะลอการสั่งซื้อสินค้าและเลือกนำสินค้าที่มีอยู่ในสต็อคออกมาขายก่อน ซึ่งหากเหตุการณ์ดังกล่าวยืดเยื้อไปจนถึงเดือนมี.ค. จะทำให้สินเชื่อเอสเอ็มอีของธนาคารในไตรมาส 1/57 ไม่ขยายตัวหรือขยายตัวสูงสุดได้ไม่เกิน 1-2% จากทั้งปีที่ตั้งเป้าสินเชื่อโต 10%
“ลูกค้าเดิมเริ่มส่งสัญญาณใช้สินเชื่อน้อยลง ทำให้ปีนี้ธนาคารอาจต้องลงไปเล่นในตลาดใหม่ที่มีความเสี่ยงสูงมากขึ้น แต่ธนาคารจะพยายามไม่ปรับเกณฑ์พิจารณาความเสี่ยง เพราะ ธนาคารยอมให้สินเชื่อโตต่ำกว่าเป้ามากกว่าที่จะให้หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้หรือเอ็นพีแอลเพิ่มขึ้น เนื่องจากจะคุมหนี้เสียปีนี้ไว้ไม่เกิน 2.8% “