หอการค้าไทยชี้ SMEs ครึ่งล้านมืดบอดไร้แหล่งเงินทุน

หอการค้าฯชี้เอสเอ็มอี 4-5 แสนรายมีปัญหาเข้าไม่ถึงแหล่งเงิน แนะหาทางช่วยเหลือ สมาคมเอสเอ็มอีชี้รายย่อยประเภทไม่มีหลักทรัพย์ลำบาก



    หอการค้าฯชี้เอสเอ็มอี 4-5 แสนรายมีปัญหาเข้าไม่ถึงแหล่งเงิน แนะหาทางช่วยเหลือ สมาคมเอสเอ็มอีชี้รายย่อยประเภทไม่มีหลักทรัพย์ลำบาก 

    นายธนวรรธน์ พลวิชัย ผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยว่า ผลสำรวจดัชนีความสามารถการแข่งขันของธุรกิจเอสเอ็มอีในไตรมาส 1/2557 อยู่ที่ระดับ 56 จุด ปรับตัวลดลง 3.6 จุด ผลจากยอดขายที่ลดลง ต้นทุนสูงขึ้น ขาดสภาพคล่อง แต่หลังจากคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เข้ามาบริหารประเทศ และปัญหาการเมืองคลี่คลายลง ทำให้ธุรกิจเอสเอ็มอีมีความมั่นใจมากขึ้น ทั้งคาดว่าเศรษฐกิจภาพรวมมีแนวโน้มดีขึ้นจากการเร่งจ่ายเงินจำนำข้าวให้ชาว นา ทำให้มีเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจประมาณ 3-4 แสนล้านบาท ช่วยกระตุ้นการใช้จ่าย

    โดยประเมินว่าไตรมาส 2 ดัชนีความสามารถการแข่งขันจะเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 60.2 จุด แต่ต้องมีการช่วยเอสเอ็มอีในการเข้าถึงแหล่งเงินทุน ทั้งต้องเร่งพัฒนาศักยภาพและผลผลิตของเอสเอ็มอีด้วย โดยอาจจัดหาวงเงิน 50,000 ล้านบาทในการช่วยเอสเอ็มอีที่ยังเข้าถึงแหล่งเงินทุนยาก ซึ่งมีประมาณ 20% หรือประมาณ 4-5 แสนราย 

    อย่างไรก็ตาม คาดว่าแนวโน้มยอดขายเอสเอ็มอีจะปรับตัวเพิ่มขึ้น จากที่เศรษฐกิจในประเทศมีแนวโน้มดีขึ้น และการเมืองมีเสถียรภาพมากขึ้น ส่วน เรื่องปัญหาการว่างงานยังไม่น่าเป็นห่วง เพราะยังอยู่ในระดับดีประมาณ 0.7% และโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของประเทศมูลค่า 3 ล้านล้านบาทตามนโยบาย คสช. จะยิ่งช่วยเพิ่มการจ้างงานในอนาคต รวมทั้งช่วยเพิ่มความมั่นใจให้กับนานาชาติว่าไทยจะมีโครงการลงทุนครั้งใหญ่ 

    นายธนวรรธน์กล่าวว่า สิ่งที่กลุ่มผู้ประกอบการเอสเอ็มอีต้องการได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐ 3 อันดับแรกคือ การส่งเสริมและพัฒนาองค์ความรู้ ทักษะในการบริหารจัดการธุรกิจ, ช่วยเหลือด้านต้นทุนของสินค้าให้สามารถแข่งขันกับคู่แข่งได้ และช่วยเหลือการเข้าถึงแหล่งเงินทุน เพราะสถาบันการเงินไม่ปล่อยสินเชื่อ

    ขณะ ที่นางเพ็ญทิพย์ พรจะเด็ด นายกสมาคมส่งเสริมผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมไทย (สสวท.) กล่าวว่า จากที่ คสช.ได้ผลักดันนโยบายสนับสนุนสินเชื่อเอสเอ็มอี เชื่อว่าจะทำให้แบงก์มีความเชื่อมั่นและขานรับทำให้เกิดผลโดยเร็ว และกฎระเบียบที่เข้มงวดต่าง ๆ คาดว่าจะได้รับการอนุโลมในระยะนี้ สถานการณ์ในช่วงนี้ผ่อนคลายขึ้น เชื่อว่าหลังจากนี้ผู้ประกอบการจะมีกำลังใจลุกขึ้นมาผลิต โดยเฉพาะกลุ่มที่เป็นซัพพลายเชนและรับออร์เดอร์ในช่วงนี้ 

    อย่างไรก็ดี ตนมองว่ามาตรการช่วยเหลือเอสเอ็มอีไม่ควรจะเป็นแคมเปญระยะสั้น ๆ 3 เดือน แต่ต้องเป็นมาตรการระยะยาว ทั้งย้ำว่าควรมีแหล่งเงินทุนสำหรับการช่วยเหลือเอสเอ็มอีโดยเฉพาะ นอกจากนี้เห็นว่าควรมีการสานต่อโครงการส่งเสริมการค้าชายแดนกับประเทศเพื่อน บ้าน เพื่อเป็นช่องทางช่วยเอสเอ็มอีขยายตลาด

ที่มา : ประชาชาติธุรกิจออนไลน์

NEWS & TRENDS