ม.หอการค้าไทยแนะตั้งกองทุนอาเซียนวงเงิน 1,000 ล้านช่วย SMEs ด้านสภาพคล่อง เร่งปรับตัวรับ AEC หลังผลสำรวจชี้ 60 % ยังไม่พร้อม
ม.หอการค้าไทยแนะตั้งกองทุนอาเซียนวงเงิน 1,000 ล้านช่วย SMEs ด้านสภาพคล่อง เร่งปรับตัวรับ AEC หลังผลสำรวจชี้ 60 % ยังไม่พร้อม
นายอัทธ์ พิศาลวานิช คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ และผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาการค้าระหว่างประเทศมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยถึงผลสำรวจเรื่อง “ผู้ประกอบการผลิตและส่งออกไทย ปรับตัวไปแค่ไหนภายใต้เออีซี” ว่า ขณะนี้มีผู้ผลิตและส่งออกสินค้า ที่เป็นกลุ่มเอสเอ็มอีมากกว่า 63.1% หรือ 321,000 รายจากเอสเอ็มอีในภาคผลิตทั้งหมด 512,000 ราย ระบุว่า ตนเองปรับตัวไม่ทันต่อการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) ในปี 58 เบื้องต้น ส่วนใหญ่ต้องการเวลาอีก 2 ปีครึ่ง ในการปรับตัว หรือพร้อมในปี 59 ต่างจากรายใหญ่ ส่วนมากต้องการเวลาอีก 1 ปีครึ่ง ในการปรับตัว หรือพร้อมปรับตัวในปี 58 พอดี
ทั้งนี้ศูนย์ศึกษาการค้าระหว่างประเทศ มีข้อเสนอแนะว่า ภาครัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ควรจะตั้งกองทุนอาเซียนสำหรับเอสเอ็มอีวงเงิน 1,000 ล้านบาทเพื่อใช้เป็นเงินทุนในการสนับสนุนให้ผู้ประกอบการที่มีศักยภาพ พร้อมที่จะออกไปลงทุนต่างประเทศแต่ยังขาดเงินทุนเช่น กลุ่มอุตสาหกรรมเสื้อผ้า อาหารทะเล รองเท้า และโรงสี เป็นต้น พร้อมทั้งตั้งหน่วยงานที่มีลักษณะคล้าย ๆ กับองค์การส่งเสริมการค้าต่างประเทศของญี่ปุ่น (เจโทร) เข้ามาช่วยเหลือเอสเอ็มอี
นอกจากนี้ ควรจะมีศูนย์กระจายสินค้าไทยในประเทศเพื่อนบ้านอาเซียน รวมทั้งสร้างเครือข่ายระหว่างสมาคมผู้ผลิตในไทย กับประเทศเพื่อนบ้านอาเซียนและที่สำคัญ จะต้องส่งเสริมให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีไทย ออกไปลงทุนประเทศเพื่อนบ้านแบบรวมกลุ่มคลัสเตอร์ เพื่อไปตั้งฐานการผลิต หรือกระจายสินค้าในประเทศเพื่อนบ้าน
“สาเหตุที่เอสเอ็มอีปรับตัวไม่ทัน มาจากไม่รู้จะปรับตัวอย่างไร เพราะยังขาดความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับเออีซี,รอแนวทางและนโยบายช่วยเหลือที่ชัดเจนจากภาครัฐ,กำลังศึกษาข้อมูลเพื่อหาแนวทางในการปรับตัว, ไม่มีเวลาในการศึกษาแนวทางการปรับตัว, ธุรกิจที่เน้นขายในประเทศเป็นหลักมองว่าเออีซีเป็นเรื่องไกลตัว, มีลูกค้าประจำและมีตลาดรองรับที่แน่นอนอยู่แล้ว, ธุรกิจไม่มีความพร้อมที่จะสามารถปรับตัวได้เอง และขาดเงินทุนที่จะนำใช้ในการปรับตัว เป็นต้น”
นายอัทธ์ กล่าวว่า การที่ผู้ผลิตและส่งออกเอสเอ็มอีไทย ยังไม่มีความพร้อมในการปรับตัวเพื่อเข้าสู่เออีซีนั้น จะทำให้สูญเสียในแง่ของมูลค่าการค้าไปและเสียเปรียบขีดความสามารถการแข่งขันกับเพื่อนบ้าน เพราะไม่รู้และไม่เข้าใจว่าจะใช้ประโยชน์จากการเข้าสู่เออีซีอย่างไรได้บ้าง อีกทั้งยังเสียโอกาสในการเข้าไปลงทุนตั้งบริษัทใหม่ในประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งหากปล่อยไว้ในอนาคต เอสเอ็มอีกลุ่มนี้ที่ปรับตัวไม่ทันก็จะต้องทยอยปิดกิจการไป เพราะแข่งขันไม่ได้ แต่คงจะยังไม่เห็นทันทีในปี 58
ทั้งนี้ผู้ผลิตและส่งออก ที่เป็นเอสเอ็มอีในกลุ่มสินค้าเกษตร เช่น ข้าว ประมง ไก่และยางพารา ส่วนเอสเอ็มอีในภาคอุตสาหกรรม ที่พบว่าปรับตัวไม่ทัน ส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มอุตสาหกรรมที่ใช้แรงงานเข้มข้น เช่น อุตสาหกรรมเซรามิก สิ่งทอ และเครื่องนุ่งห่ม เคมีภัณฑ์ ยานยนต์ และชิ้นส่วน และอาหาร และเครื่องดื่ม เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม ยังพบว่าผู้ผลิตและส่งออกเอสเอ็มอี ต้องการให้ภาครัฐช่วยเหลือในการปรับตัวเข้าสู่เออีซี คือการสนับสนุนเงินทุนช่วยเหลือ สำหรับการปรับตัวและพัฒนาธุรกิจ23.4%ส่งเสริมเกี่ยวกับการพัฒนาศักยภาพแรงงานฝีมือและทักษะด้านภาษาให้มากขึ้น13.6%จดอบรมความรู้เกี่ยวกับเออีซีให้มากขึ้นโดยเฉพาะด้านกฎหมายการค้าการลงทุน12.6%และลดภาษีเงินได้นิติบุคคล/ภาษีนำเข้าวัตถุดิบ 7.5% เป็นต้น
ที่มา : www.daliynews.co.th