ดัชนีสถานการณ์คอร์รัปชั่นไทยโดยรวมอยู่ที่ 46 คะแนน ซึ่งถือเป็นสถานการณ์ในระดับปานกลาง เพิ่มขึ้นจาก 39 คะแนน ที่เป็นสถานการณ์อยู่ในระดับรุนแรง
นางเสาวณีย์ ไทยรุ่งโรจน์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยถึง ผลสำรวจดัชนีสถานการณ์คอร์รัปชั่นไทย ที่สำรวจจากกลุ่มตัวอย่าง 2,400 ตัวอย่าง ในเดือน มิ.ย.57 ทั้งภาครัฐ เอกชน และประชาชนว่า ดัชนีสถานการณ์คอร์รัปชั่นไทยโดยรวมอยู่ที่ 46 คะแนน ซึ่งถือเป็นสถานการณ์ในระดับปานกลาง เพิ่มขึ้นจาก 39 คะแนน ที่เป็นสถานการณ์อยู่ในระดับรุนแรง ในการสำรวจครั้งก่อนเมื่อเดือนธ.ค.2556 ถือเป็นค่าดัชนีสูงสุดในรอบ 5 ปี หรือตั้งแต่ปี 2553 ที่เริ่มมีการสำรวจ
"ดัชนีสถานการณ์คอร์รัปชั่นไทยโดยรวมอยู่ที่ 46 เพิ่มขึ้นจาก 35 คะแนน ในการสำรวจครั้งก่อนเมื่อเดือน ธ.ค.56 ถือเป็นค่าดัชนีสูงสุดในรอบ 5 ปีหรือตั้งแต่ปี 53 ที่มีการสำรวจดัชนีนี้ ส่วนดัชนีสถานการณ์คอร์รัปชั่นไทยในปัจจุบันอยู่ที่ 45 คะแนน เท่ากับการสำรวจครั้งก่อน และดัชนีแนวโน้มสถานการณ์คอร์รัปชั่นไทยอยู่ที่ 47 คะแนน เพิ่มขึ้นจาก 40 คะแนน" นางเสาวณีย์ระบุ
สำหรับความเสียหายของการทุจริตคอร์รัปชั่นที่ประเมินจากงบประมาณจัดซื้อจัดจ้างของหน่วยราชการ พบว่า ผู้ตอบส่วนใหญ่ 48.4% ระบุว่า ต้องจ่ายเงินเพิ่มพิเศษให้แก่ข้าราชการ/นักการเมือง ที่ทุจริตเพื่อให้ได้สัญญาระหว่าง 15-25% ของเงินงบประมาณรายจ่าย ค่าครุภัณฑ์ ที่ดิน และสิ่งปลูกสร้าง รวมถึงงบลงทุนรัฐวิสาหกิจ, ผู้ตอบอีก 25.9% ระบุจ่ายมากกว่า 25%, 7.4% ระบุจ่ายที่ 11-15%, 3.7% ระบุจ่ายที่ 6-10% และอีก 0.1% ระบุจ่ายเพียง 1-5% ซึ่งต่างจากการสำรวจในปี 53-56 ที่ผู้ตอบส่วนใหญ่ระบุว่า ต้องจ่ายเงินเพิ่มพิเศษสูงถึง 25-35% ของงบประมาณฯ
ประเมินว่าวงเงินงบประมาณรายจ่าย ค่าครุภัณฑ์ ที่ดิน และสิ่งปลูกสร้าง รวมถึงงบลงทุนรัฐวิสาหกิจปี 57 อยู่ที่ 1.005 ล้านล้านบาท หากมีการจ่ายเงินพิเศษ 15-25% จะคิดเป็นเงินเม็ดเงินที่ต้องจ่ายอยู่ที่ 150,763.4-251,272.3 ล้านบาท คิดเป็น 5.97-9.95% ของงบประมาณรายจ่ายภาครัฐทั้งหมด 2.525 ล้านล้านบาท และคิดเป็น 1.18-1.97% ต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) อย่างไรก็ตาม ทุกๆ 1 เปอร์เซ็นต์ของการจ่ายเงินใต้โต๊ะที่ลดลงนั้น จะทำให้การคอร์รัปชั่นของไทยลดลง 10,000 ล้านบาท ซึ่งการที่ผู้ประกอบการจ่ายเงินใต้โต๊ะที่ 15-25% จากเดิมที่ต้องจ่าย 25-35% เท่ากับเงินจากการคอร์รัปชั่นลดลง 100,000 ล้านบาท ช่วยกระตุ้นให้เศรษฐกิจไทยเติบโตได้ 0.5-0.7%
ด้านนายธนวรรธน์ พลวิชัย ผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวว่า การสำรวจครั้งนี้เกิดขึ้นในช่วงเหตุการณ์ในประเทศไม่ปกติ เป็นสถานการณ์ที่โครงการลงทุนใหญ่ๆ ของภาครัฐยังไม่เกิด ยังไม่มีการใช้งบประมาณ ประกอบการ คสช.เอาจริงแก้ปัญหาคอร์รัปชั่น ทำให้การคอร์รัปชั่นลดลง และเรียกเก็บเงินใต้โต๊ะลดลง แต่ในอนาคตไม่แน่ว่า สถานการณ์จะยังดีต่อเนื่องเช่นนี้หรือไม่ แต่ต้องการให้ คสช.ถือโอกาสนี้แก้ปัญหาอย่างต่อเนื่อง
ที่มา : www.thanonline.com