พาณิชย์แนะไทยควรใช้โอกาสเป็นฮับเชื่อมภูมิภาค หลังจีนปรับทิศทางการค้าและการลงทุนสู่อาเซียนกระทั่งกลายเป็นคู่ค้าลำดับต้นๆ เผยปี 2556 การค้าไทย-จีน มีการขยายตัวมากกว่า 10% หรือคิดเป็นมูลค่ามากกว่า 4 แสนล้านดอนลาร์สหรัฐฯ
พาณิชย์แนะไทยควรใช้โอกาสเป็นฮับเชื่อมภูมิภาค หลังจีนปรับทิศทางการค้าและการลงทุนสู่อาเซียนกระทั่งกลายเป็นคู่ค้าลำดับต้นๆ เผยปี 2556 การค้าไทย-จีน มีการขยายตัวมากกว่า 10% หรือคิดเป็นมูลค่ามากกว่า 4 แสนล้านดอนลาร์สหรัฐฯ
นางอัมพวัน พิชาลัย นางอัมพวัน พิชาลัย ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า จีนเริ่มเข้ามามีบทบาทในอาเซียนมากขึ้นและเป็นคู่ค้าอันดับต้นๆของทุกประเทศในอาเซียนโดยเฉพาะประเทศไทย โดยในปี 2556 การค้าไทย-จีนมีมูลค่า 4.57 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ขยายตัวร้อยละ 10.2 เมื่อเทียบกับปี 2555 ทั้งนี้เดิมทางการจีนใช้นโยบายเติบโตจากภายนอก แต่ปัจจุบันเน้นการเติบโตแบบยืดหยุ่นและลดเป้าหมายการเติบโตเหลือร้อยละ 7 โดยให้ความสำคัญกับการปฏิรูปและปรับโครงสร้างเศรษฐกิจภายในประเทศ (การบริโภคและกำลังซื้อที่เพิ่มขึ้นภายในประเทศ กลายเป็นตลาดผู้บริโภคขนาดใหญ่สำหรับอาเซียน)
นอกจากนี้ยังให้ความสำคัญกับการเร่งพัฒนาพื้นที่ตอนในและฝั่งตะวันตกของประเทศ เช่น มหานครฉงชิ่ง ซึ่งถือเป็นศูนย์กลางในการพัฒนาเศรษฐกิจและความเจริญในภาคตะวันตก และยังเป็นฐานการผลิตอุตสาหกรรมหนัก เช่น รถยนต์ รถจักรยานยนต์ และเครื่องจักรกล โดยในปี 2555 การค้าไทย-ฉงชิ่ง มีมูลค่า 981 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ขยายตัวสูงถึง 200% และคาดว่าหลังจากเปิดสะพานมิตรภาพใหม่แห่งที่ 4 แล้ว การค้าอาเซียน-ฉงชิ่ง และการค้าไทย-ฉงชิ่งจะขยายตัวอีกหลายเท่าตัว
นางอัมพวัน กล่าวว่า นอกจากนี้จีนก็ยังให้ความสำคัญต่อระบบโลจิสติกส์และการเชื่อมระบบโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ถนน และรถไฟความเร็วสูง โดยนักลงทุนตั้งเป้าไปที่สีหนุวิลล์ ซึ่งเป็นเมืองอุตสาหกรรมและเมืองท่าสำคัญของกัมพูชา แต่ทั้งนี้ สีหนุวิลล์อาจจะยังไม่พร้อมสำหรับการลงทุนขนาดใหญ่ของจีน เนื่องจากกัมพูชามีข้อจำกัดด้านแรงงานที่มีทักษะและยังถูกจัดเป็นประเทศ พัฒนาน้อยที่สุด (Least Developed Country: LDC) การปรับตัวเพื่อรองรับการลงทุนจากต่างประเทศอาจทำได้ช้า จึงน่าจะเป็นโอกาสดีสำหรับไทยในการพิจารณาจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษที่ชายแดน ไทย-กัมพูชาใกล้คลองลึก จังหวัดตราด ซึ่งเป็นจุดที่สามารถนำเข้าแรงงานค่าจ้างถูกจากกัมพูชาได้ เพื่อดึงดูดนักลงทุนจีน
ขณะเดียวกันหากมีการพิจารณาเชื่อมเส้นทางรถไฟกับรถไฟความเร็วสูงของจีน โดยในส่วนของไทยอาจเป็นรถไฟรางคู่ ซึ่งจะเป็นประโยชน์อย่างมากในการส่งออกสินค้าไปจีน รวมทั้งไป EU ด้วย เนื่องจากจีนเปิดให้บริการขนส่งสินค้าด้วยรถไฟความเร็วสูงฉงชิ่ง-เบลเยียมแล้วโดยใช้เวลาในการเดินทางเพียง 2 สัปดาห์ นอกจากนี้หากเส้นทางฉงชิ่ง-ชายแดนลาว-จีน เปิดดำเนินการ (ใช้เวลาเดินทาง 2-3 วัน) จะทำให้การค้าอาเซียน-จีน มีความคล่องตัวมากขึ้นอย่างมหาศาล
"จากสังคมเมืองของจีนและอำนาจซื้อของครัวเรือนจะขยายเพิ่มขึ้นอย่างรวด เร็วจะส่งผลดีต่อสินค้าไทย อาทิ อิเล็กทรอนิกส์/เครื่องใช้ไฟฟ้า ยานยนต์ เฟอร์นิเจอร์ ของตกแต่งบ้าน เครื่องประดับ อาหารแปรรูป และการท่องเที่ยว ซึ่งการสร้างความใกล้ชิดกับตลาดจีนที่กำลังเติบโตจะสร้างโอกาสให้ไทยอย่าง มาก" นางอัมพวัน กล่าว
ต่อประเด็นนี้ทางสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ได้วิเคราะห์ไปในทิศทางเดียวกันว่า จากการที่ทางการจีนได้ให้ความสำคัญกับการปฏิรูปและปรับโครงสร้างเศรษฐกิจภายในประเทศ (การบริโภคและกำลังซื้อที่เพิ่มขึ้นภายในประเทศ ซึ่งกลายเป็นตลาดผู้บริโภคขนาดใหญ่สำหรับอาเซียน) ย่อมจะส่งผลดีต่อการส่งออกสินค้าของไทย โดยเฉพาะสินค้าในหมวดอิเล็กทรอนิกส์ เครื่องใช้ไฟฟ้า ยานยนต์ เฟอร์นิเจอร์ของตกแต่งบ้าน เครื่องประดับ อาหารแปรรูป และการท่องเที่ยว เป็นต้น ทั้งนี้ประเทศไทยถือเป็นฐานการผลิตและส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมที่สำคัญ เช่น อุตสาหกรรมยานยนต์ เคมีภัณฑ์ และการแปรรูปอาหาร โดยสัดส่วนการค้าระหว่างประเทศไทยกับประเทศจีนมีสัดส่วนถึงร้อยละ 11.9
ที่มา : www.thanonline.com