สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) ร่วมกับ หอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย จัดงานสัมมนาใหญ่ครั้งสำคัญประจำปี 2557 “AEC and SMEs Challenges: Next Steps (Phase 5)”
สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) ร่วมกับ หอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย จัดงานสัมมนาใหญ่ครั้งสำคัญประจำปี 2557 “AEC and SMEs Challenges: Next Steps (Phase 5)”
โดยเน้นในเรื่องของการขับเคลื่อนและเชื่อมโยงธุรกิจ SMEs ไทยสู่ภูมิภาคอาเซียน+6 เพื่อสร้างความรู้และพัฒนาให้ผู้ประกอบการ SMEs ไทย มีความพร้อมในการปรับตัวสามารถหาโอกาสทางการค้าและการลงทุนในอาเซียน+6 และ ส่งเสริมให้เกิดการรวมกลุ่มเพื่อเชื่อมโยงเครือข่ายผู้ประกอบการ SMEs ไทยในทุกภูมิภาค
ดร.วิมลกานต์ โกสุมาศ รองผู้อำนวยการและรักษาการตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) เปิดเผยว่า สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม หรือสสว.ได้ร่วมกับหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เตรียมจัดสัมมนาใหญ่ AEC and SMEs Challenges : Next Steps (Phase 5) ซึ่งนับเป็นปีที่ 5 ติดต่อกัน
การจัดกิจกรรม AEC and SMEs Challenges: Next Steps (Phase 5) เพื่อเป็นการขับเคลื่อนและเชื่อมโยงธุรกิจ SMEs ไทยสู่ภูมิภาคอาเซียน+6 เพื่อให้ผู้ประกอบการไทยสามารถพัฒนาศักยภาพในการแข่งขันให้ธุรกิจ SMEs เติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืนในภูมิภาค และให้ความสำคัญกับการเตรียมพร้อมผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ต่อผลกระทบทั้งทางด้านบวกและด้านลบที่จะเกิดขึ้น เมื่อไทยก้าวไปเป็นส่วนหนึ่งของประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (ASEAN Economic Community: AEC) อย่างสมบูรณ์ในปี พ.ศ. 2558
โดยได้แบ่งการดำเนินงานออกเป็น 2 ส่วน ได้แก่ การวางนโยบายความร่วมมือระหว่างประเทศซึ่ง สสว. ได้ดำเนินการร่วมกับประเทศอาเซียนภายใต้กรอบของคณะทำงานด้านวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมอาเซียน (ASEAN SME Agencies Working Group: ASEAN SMEWG) และการพัฒนาผู้ประกอบการ SMEs และโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็นในประเทศ
ด้านนายอิสระ ว่องกุศลกิจ ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่า นับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2553 คณะกรรมการ AEC Prompt สภาหอการค้าแห่งประเทศไทยได้ร่วมกับสสว. ดำเนินกิจกรรม AEC and SMEs Challenges: Next Steps ซึ่งเป็นการเสริมสร้างความรู้ในด้านช่องทางการค้าการลงทุนให้กับผู้ประกอบการ SMEs อย่างต่อเนื่อง
นอกจากนี้ยังได้ดำเนินกิจกรรมเพื่อพัฒนาผู้ประกอบการสู่เส้นทางการลงทุนในภูมิภาคอาเซียนด้วย โดยมีกิจกรรมที่ได้ดำเนินการแล้วหลายประเทศ สำหรับการเจรจาความตกลงพันธมิตรทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (Regional Comprehensive Economic Partnership : RCEP) ถือเป็นหัวใจหลัก ที่จำเป็นที่จะต้องนำมาศึกษาประเด็น ร่วมถกปัญหาให้ครอบคลุมประเด็นใหม่ ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการค้าระหว่างประเทศในปัจจุบัน อาทิ การแข่งขันทางการค้า ทรัพย์สินทางปัญญา และสิ่งแวดล้อม เป็นต้น อันจะเป็นการสร้างมาตรฐานใหม่ในการรวมตัวกันของอาเซียนกับประเทศผู้เข้าร่วม และนับเป็นก้าวสำคัญของยุทธศาสตร์การค้าระหว่างประเทศของไทยและอาเซียน
ทั้งนี้ ในส่วนของประเทศไทย RCEP จะเป็นก้าวสำคัญของยุทธศาสตร์การค้าระหว่างประเทศของไทยตามนโยบายของรัฐบาลในการเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจการค้าและการลงทุนของประเทศ และเป็นยุทธศาสตร์สำคัญในการรักษา ขยายโอกาส และขีดความสามารถในการแข่งขันในตลาดที่สำคัญของประเทศ
เนื่องจาก RCEP ครอบคลุมทุกมิติการค้า เพื่อเชื่อมโยงเครือข่ายการผลิต การค้า บริการ และการลงทุน รวมทั้งมีการปรับประสานกฎกติกาทางการค้าต่างๆ และกฎถิ่นกำเนิดสินค้าให้สอดคล้องกันมากขึ้น และจะเปิดกว้างผนวกประเด็นใหม่ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการค้าระหว่างประเทศในปัจจุบัน อาทิ นโยบายการแข่งขัน และทรัพย์สินทางปัญญา ซึ่งจะช่วยอำนวยความสะดวกทางการค้าและการลงทุนของภาคเอกชนได้มากกว่าความตกลงที่มีอยู่ ปัจจุบันมูลค่าการค้าขายของไทยกับ RCEP ประมาณ 255,000 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 56% ของมูลค่าการค้ารวมของไทย หากมีการเปิดเสรี จะยิ่งทำให้ไทยมีโอกาสขยายการค้าไปยังประเทศในกลุ่มได้เพิ่มขึ้น ดังนั้น RCEP จึงเป็นยุทธศาสตร์สำคัญของอาเซียนในการบูรณาการเศรษฐกิจในภูมิภาคอาเซียนเข้ากับภายนอกภูมิภาคตามแผน AEC Blueprint
ด้วยเหตุนี้ ทั้งสสว. และสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย จึงเห็นถึงความสำคัญของการสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับความตกลง RCEP ให้แก่ผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ของไทย เพื่อสร้างเสริมโอกาสการค้าและการลงทุนในภูมิภาค RCEP พร้อมทั้งตอบสนองต่อพลวัตรเศรษฐกิจของโลกปัจจุบัน และการรวมกลุ่มการค้าในภูมิภาคที่เพิ่มขึ้น ซึ่งหากการเจรจาเป็นผลสำเร็จ RCEP จะเป็นความตกลงที่มีผลกระทบสูง (high impact) ต่อเอเชียและแปซิฟิก และจะเป็นพื้นฐาน (Building block) หนึ่งที่สำคัญเคียงคู่กับความตกลงทางการค้า TPP (Trans-Pacific Partnership) และ CJK (China-Japan-Korea) ในการเจรจาความตกลงเปิดเสรีทางเศรษฐกิจการค้าในกลุ่มเอเปค หรือ FTAAP ในอนาคตอีกด้วย
สำหรับผลการดำเนินการกิจกรรม AEC and SMEs Challenges: Next Steps ตลอดระยะเวลา 4 ปีที่ผ่านมา มีผู้สนใจเข้าร่วมฟังการสัมมนารวมทั้งสิ้น จำนวนกว่า 2,400 ราย และมีผู้ประกอบการเข้าร่วมกิจกรรมจับคู่ธุรกิจในต่างประเทศได้แก่ ประเทศกัมพูชา เมียนมาร์ เวียดนาม และ อินโดนีเซีย จำนวนทั้งสิ้น 90 ราย เกิดการจับคู่ธุรกิจจำนวน 271 คู่ และเกิดโอกาสทางธุรกิจกว่า 147 ล้านบาท
ดังนั้นการส่งเสริมให้ผู้ประกอบการ SMEs ให้มีการเตรียมพร้อมสำหรับการก้าวสู่อาเซียน+6 จึงมีความสำคัญในฐานะที่อาเซียนเป็นภูมิภาคที่มีศักยภาพสูง ซึ่งต้องร่วมมือกันรักษา และขยายโอกาสทางการค้าและการลงทุน รวมทั้งเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน และในปี 2557 นี้ สสว. ได้เล็งเห็นถึงความสำคัญในการดำเนินการกิจกรรมให้เกิดผลต่อเนื่อง จึงเสนอการดำเนินกิจกรรมในระยะที่ 5 ภายใต้ชื่อกิจกรรม AEC and SMEs Challenges: Next Steps (Phase 5) เพื่อขับเคลื่อนและเชื่อมโยงธุรกิจ SMEs ไทยสู่ภูมิภาคอาเซียน+6 เพื่อให้ผู้ประกอบการไทยสามารถพัฒนาศักยภาพในการแข่งขันให้ธุรกิจ SMEs เติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืนในภูมิภาคต่อไป