เอสเอ็มไอ ชี้ต้องการให้สำนักงานส่งเสริมรัฐวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) เร่งประกาศแผนแม่บทการพัฒนาเอสเอ็มอีให้เป็นรูปธรรม
นายศักดิ์ชัย อุ่นจิตติกุล ประธานสถาบันวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมอุตสาหกรรมการผลิต (เอสเอ็มไอ) สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า ต้องการให้สำนักงานส่งเสริมรัฐวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) เร่งประกาศแผนแม่บทการพัฒนาเอสเอ็มอีให้เป็นรูปธรรม เพราะหากไทยประสบความสำเร็จในการพัฒนาเอสเอ็มอีอย่างเป็นรูปธรรม หลังกำหนดเป็นนโยบายแห่งชาติ จะทำให้ไทยเข้าสู่การเป็นประเทศที่มีรายได้สูง (ไฮ อินคัม อีโคโนมี) ได้เร็วขึ้น ซึ่งสถิติโลกประเทศที่มีรายได้สูงสัดส่วนจีดีพี 50% ธุรกิจเอสเอ็มอี ซึ่งจีดีพีของไทยมีรายได้จากธุรกิจเอสเอ็มอีเพียง 37% ทั้งๆ ที่มีจำนวนกว่า 2.76 ล้านราย สูงกว่ารายใหญ่และกลางมีรวมกันแค่ 2 หมื่นกว่าราย รวมทั้งการพัฒนาเอสเอ็มอีจะช่วยพัฒนาเทคโนโลยี แก้ปัญหาการว่างงานและป้องกันการผูกขาดอำนาจทางเศรษฐกิจ โดยขณะนี้ขีดความสามารถแข่งขันในอาเซียน เอสเอ็มอีไทยเป็นอันดับ 3 อันดับเดียวกับอินโดนีเซีย รองจากสิงคโปร์และมาเลเซีย
นายสุชาติ จันทรานาคราช รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ด้านแรงงาน กล่าวว่า ปัจจุบันแรงงานไทยมีศักยภาพด้านการแข่งขันลดลงต่อเนื่อง จากการสำรวจแรงงานของกลุ่มประเทศอาเซียน พบว่า ใกล้เคียงกับมาเลเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ และอินโดนีเซีย โดยผลิตภาพแรงงานไทย อยู่อันดับที่ 57 ของโลก อยู่ต่ำกว่าสิงคโปร์อันดับ 18 และมาเลเซียอันดับ 47 ลดลงจากปี 2553 ไทยอยู่อันดับ 54 ถือเป็นสถานการณ์ที่น่าเป็นห่วง หากไทยไม่เร่งปรับปรุงอาจจะรั้งท้ายในกลุ่มอาเซียนด้วยกัน รวมถึงอัตราเติบโตแรงงาน ทักษะด้านเทคโนโลยี คุณภาพวิศวกร ระบบการศึกษาก็ต่ำลง โดยเฉพาะต่ำกว่าสิงคโปร์ มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซีย
นายสุชาติกล่าวว่า 5 ธุรกิจที่ประสบปัญหาขาดแคลนแรงงานสูงสุด คือสิ่งทอ/เครื่องนุ่งห่ม เครื่องใช้ไฟฟ้า/อิเล็กทรอนิกส์ อาหาร/เครื่องดื่ม ยาง/พลาสติก และก่อสร้าง ทำให้ต้องพึ่งพาแรงงานต่างด้าว ซึ่งรัฐบาลควรมียุทธศาสตร์แรงงานต่างด้าวและสัดส่วนที่ชัดเจน เร่งพัฒนาเทคโนโลยีและฝีมือแรงงาน โดยเฉพาะแรงงานภาคการเกษตรและธุรกิจเอสเอ็มอี คาดว่าปี 2560 ภาคอุตสาหกรรมต้องใช้แรงงาน 4.08 ล้านคน หรือเพิ่มขึ้น 6.81 แสนคน จากปี 2556
ที่มา : หนังสือพิมพ์มติชน