​ดันเอกชนใช้สิทธิเอฟทีเอ 100% ตั้งเป้า 3 ปีประหยัดเงินได้ 1.3 แสนล.

สศอ.เตรียมหารือกับนายจักรมณฑ์ ผาสุกวนิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เกี่ยวกับการปรับปรุงกระบวนการสนับสนุนให้ผู้ประกอบการไทยใช้สิทธิประโยชน์ด้านภาษีศุลกากร



    นายอุดม วงศ์วิวัฒน์ไชย ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) เปิดเผยว่า สศอ.เตรียมหารือกับนายจักรมณฑ์ ผาสุกวนิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เกี่ยวกับการปรับปรุงกระบวนการสนับสนุนให้ผู้ประกอบการไทยใช้สิทธิประโยชน์ด้านภาษีศุลกากรจากกรอบการเปิดเขตการค้าเสรี (เอฟทีเอ) ที่มีผลบังคับใช้แล้ว 11 ฉบับ กับ 15 ประเทศให้มากขึ้น ก่อนนำแนวทางดังกล่าวหารือกับรองนายกรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจต่อไป เพื่อกระตุ้นให้ภาคอุตสาหกรรมทั้งผู้นำเข้าและส่งออกใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีเต็ม 100% ภายในปี 2560 ช่วยประหยัดภาษีนำเข้าได้ 132,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2556 ซึ่งอยู่ที่ 91,310 ล้านบาท และประหยัดภาษีส่งออกได้ 252,789 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2556 ซึ่งอยู่ที่ 135,855 ล้านบาท (รวมภาษีที่ประหยัดได้จากการใช้สิทธิเอฟทีเอ 384,789 ล้านบาท)

    "ภายในปี 2560 สศอ.ตั้งเป้าหมายให้ผู้ประกอบการใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีเต็ม 100% จากปัจจุบันมีการใช้สิทธิต่ำมากไม่ถึง 50% ซึ่งหากทำได้จะทำให้ต้นทุนสินค้าลดลง และช่วยเพิ่มศักยภาพในการแข่งขัน โดยเฉพาะกลุ่มสินค้าอุตสาหกรรมที่ผลิตเพื่อการส่งออกมีอัตราการใช้สิทธิ 41% ขณะที่การนำเข้าใช้สิทธิ 52.6%" นายอุดมกล่าว

    นายอุดมกล่าวว่า ในปี 2556 ที่ผ่านมา พบว่าประเทศที่ไทยส่งออกสินค้ามีอัตราการใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีตามกรอบเอฟทีเอในภาพรวมต่ำมาก ได้แก่ พม่า 7.4% กัมพูชา 5.7% และ สปป.ลาว 3.8% จึงเห็นว่าผู้ส่งออกยังมีโอกาสอีกมากในการใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษี เพื่อเพิ่มความได้เปรียบในการส่งออกสินค้า

    นายอุดมกล่าวว่า มั่นใจว่าปีนี้ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมจะขยายตัวได้ถึง 4% ตามเป้าหมายที่คาดไว้ เนื่องจากภาคอุตสาหกรรมมีแนวโน้มเติบโตกว่าปีก่อนจากการส่งออกยานยนต์ ซึ่งจะขยายตัวมากขึ้นจากโครงการรถยนต์ประหยัดพลังงานมาตรฐานสากล (อีโคคาร์) อุตสาหกรรมอาหารที่จะขยายตัวจากแนวโน้มเศรษฐกิจในประเทศที่เริ่มฟื้นตัว และอุตสาหกรรมที่เกี่ยวกับเครื่องใช้ไฟฟ้าจะขยายตัวจากการเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) แม้ไทยจะถูกตัดสิทธิพิเศษทางภาษีจากสหภาพยุโรป (จีเอสพี) แต่คาดว่าจะไม่กระทบในภาพรวมของการส่งออกมากนัก



ที่มา : นสพ.มติชน

NEWS & TRENDS