ธปท.ห่วงเอ็นพีแอลเพิ่มอยู่ที่ร้อยละ 2.34 หลังเศรษฐกิจชะลอตัว สัญญาณชัดในสินเชื่อรายย่อยและอุปโภคบริโภค
ธปท.ห่วงเอ็นพีแอลเพิ่มอยู่ที่ร้อยละ 2.34 หลังเศรษฐกิจชะลอตัว สัญญาณชัดในสินเชื่อรายย่อยและอุปโภคบริโภค
นางทองอุไร ลิ้มปิติ รองผู้ว่าการด้านเสถียรภาพสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย หรือ ธปท. เปิดเผยว่า ธนาคารพาณิชย์ได้รับผลกระทบจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจ ทำให้สินเชื่อชะลอลงโดยโตเพียงร้อยละ 5 ณ สิ้นเดือนพฤศจิกายน 2557 และคุณภาพสินเชื่อด้อยลงบ้าง โดยระดับหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ หรือ NPL ขยับเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 2.15 ในปี 2556 เป็นร้อยละ 2.34 ในไตรมาส 3 ปี 2557 โดยเฉพาะ NPL สินเชื่ออุปโภคบริโภคขยับเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 2.20 มาอยู่ที่ร้อยละ 2.65 ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติในภาวะที่เศรษฐกิจชะลอลง แต่ ธปท.ได้ให้ธนาคารพาณิชย์เพิ่มการกันสำรองให้มากขึ้นโดยมีสัดส่วนอยู่ที่ 1.35 เท่าต่อ NPL ดังนั้นจึงมีเพียงพอสำหรับการดูแลคุณภาพ NPL
อย่างไรก็ตามไตรมาส 1/58 ตัวเลข NPL ยังเพิ่มขึ้น แม้ว่าภาพรวมเศรษฐกิจไทยที่เริ่มฟื้นตัว และคาดทรงตัวในปีนี้
"ธปท.ยอมรับว่ามีความเป็นห่วงเรื่องคุณภาพสินเชื่อรายย่อยและธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับการบริโภคในประเทศที่อาจด้อยลงจนกว่าเศรษฐกิจจะฟื้นตัวเต็มที่ รวมทั้งความกังวลต่อกระแสเงินทุนเคลื่อนย้ายที่มีความผันผวนเพราะเศรษฐกิจโลกฟื้นตัวเปาะบางและนะโยบายการเงินของกลุ่มประเทศหลักมีแนวโน้มแตกต่างกัน" นางทองอุไรกล่าว
ส่วนในปี 2558 ที่คาดการณ์ว่า ภาพรวมเศรษฐกิจไทยจะขยายตัวได้ร้อยละ 4 ทำให้ธนาคารพาณิชย์จะสามารถสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ โดยมีเป้าหมายการให้สินเชื่อโตร้อยละ 7 โดยสินเชื่อธุรกิจที่จะขยายตัวได้ดี คือ ก่อสร้าง อสังหาริมทรัพย์ และสาธารณูปโภค ซึ่งธนาคารพาณิชย์จะมุ่งสู่การเป็นดิจิตอลแบงกิ้ง ลดต้นทุนของธนาคาร ขยายฐานลูกค้า รายได้ค่าธรรมเนียมเพิ่มขึ้นจากปริมาณธุรกรรมที่สูงขึ้น ขณะเดียวกันธนาคารพาณิชย์ต้องเพิ่มการรักษาความปลอดภัยของข้อมูลและป้องกันการทุจริต
นอกจากนี้ ธปท.ได้ทำการทดสอบภาวะวิกฤต เพื่อประเมินฐานะและความมั่นคงของธนาคารพาณิชย์ พบว่าธนาคารพาณิชย์ไทยมีเงินกองทุนเพียงพอที่จะรองรับภาวะวิกฤติได้ แม้ว่าเศรษฐกิจไทยจะไม่ขยายตัว 2 ปีติดต่อกัน แต่ธนาคารพาณิชย์มีเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงสูงถึงร้อยละ 14.8 และหากเศรษฐกิจได้รับผล กระทบในเชิงลบจนประเทศถูกลดอันดับลง เงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงก็ยังสูงถึงร้อยละ 13.9 เมื่อเทียบกับปี 2556 ที่อยู่ที่ร้อยละ 15.6
ที่มา : สำนักข่าวไทย