กรมพัฒนาธุรกิจการค้า พร้อมด้วยกรมการท่องเที่ยว กรมสอบสวนคดีพิเศษ และตำรวจท่องเที่ยวร่วมลงพื้นที่ย่านธุรกิจใจกลางกรุงเทพมหานคร มุ่งปราบปรามนอมินีธุรกิจท่องเที่ยวอย่างจริงจัง และเป็นรูปธรรม พร้อมตรวจจริง จับจริง
กรมพัฒนาธุรกิจการค้า พร้อมด้วยกรมการท่องเที่ยว กรมสอบสวนคดีพิเศษ และตำรวจท่องเที่ยวร่วมลงพื้นที่ย่านธุรกิจใจกลางกรุงเทพมหานคร มุ่งปราบปรามนอมินีธุรกิจท่องเที่ยวอย่างจริงจัง และเป็นรูปธรรม พร้อมตรวจจริง จับจริง
นางสาวผ่องพรรณ เจียรวิริยะพันธ์ อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า เปิดเผยว่า ภายหลังจากที่กรมฯได้ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือการแก้ไขปัญหาการประกอบธุรกิจท่องเที่ยวโดยใช้คนไทยเป็นตัวแทนอำพราง (Nominee) ร่วมกับสำนักงานปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กรมการท่องเที่ยว และกรมสอบสวนคดีพิเศษ ไปแล้วเมื่อวันที่ 24 ธันวาคม 2557 ซึ่งมีกรอบความร่วมมือ 4ด้าน คือ ด้านการจดทะเบียนและการอนุญาต ด้านการประสานแลกเปลี่ยนข้อมูล ด้านกำกับดูแลและป้องปราม และด้านการส่งเสริมธุรกิจท่องเที่ยว ขณะนี้ได้ร่วมกันกำหนดแผนปฏิบัติการและลงพื้นที่ตรวจสอบย่านธุรกิจท่องเที่ยวในเขตกรุงเทพมหานครแล้วเมื่อวันที่ 28 มกราคม 2558 ที่ผ่านมา พบว่าผู้ประกอบธุรกิจตื่นตัวและให้ความสำคัญในการปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด พร้อมให้ความร่วมมือในการตรวจสอบเอกสารด้วยดี
“จากการลงพื้นที่ตรวจสอบของเจ้าหน้าที่ ณ อาคารพระราม 9 ในครั้งนี้ พบว่ามีธุรกิจนำเที่ยว ที่มีพฤติกรรมเข้าข่ายเป็นนอมินี 1 ราย ซึ่งกรมฯ ได้แจ้งให้กรรมการจัดส่งเอกสารไปให้ภายในวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2558 เพื่อตรวจสอบในเชิงลึกก่อน หากพบว่าผิดโดยเจตนาก็จะส่งเรื่องต่อให้กรมสอบสวนคดีพิเศษดำเนินการตามกฎหมายต่อไป ซึ่งแม้จะพบผู้เข้าข่ายเพียง 1 ราย แต่กรมฯ ไม่ได้วางใจหรือนิ่งนอนใจ แต่อย่างใด ในการลงพื้นที่ครั้งนี้ได้ส่งเจ้าหน้าที่ไปให้คำแนะนำแก่ผู้ประกอบธุรกิจเกี่ยวกับกฎหมายที่ต้องรู้ และปฏิบัติตามเพื่อป้องปรามไม่ให้มีการใช้ตัวแทนอำพราง”
อย่างไรก็ตาม กรมพัฒนาธุรกิจการค้า ขอเตือนคนไทยที่ให้ความช่วยเหลือ สนับสนุนหรือถือหุ้นแทนคนต่างด้าว เพื่อให้คนต่างด้าวประกอบธุรกิจโดยหลีกเลี่ยงหรือฝ่าฝืนกฎหมาย ซึ่งจะมีความผิดโทษจำคุกไม่เกิน3 ปี หรือปรับตั้งแต่ 1 แสน – 1 ล้านบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และยังมีโทษปรับรายวัน อีกวันละ 1 หมื่น - 5 หมื่นบาทจนกว่าจะเลิกฝ่าฝืน
