ททท.กางแผนบุกตลาดยุโรปปี59หวังเจาะตลาดดึงกลุ่มคู่รักห่างเหิน มากระชับสัมพันธ์ในไทย หลังกระแสการทำตลาดแบบสะท้อนอารมณ์นักท่องเที่ยวมาแรง“
ททท.กางแผนบุกตลาดยุโรปปี59หวังเจาะตลาดดึงกลุ่มคู่รักห่างเหิน มากระชับสัมพันธ์ในไทย หลังกระแสการทำตลาดแบบสะท้อนอารมณ์นักท่องเที่ยวมาแรง“
นายธเนศวร์ เพชรสุวรรณ ผู้อำนวยการภูมิภาคยุโรป แอฟริกา และตะวันออกกลาง การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดเผยว่า ททท.ได้วางแผนกลยุทธ์บุกตลาดภูมิภาคยุโรปในปี 59 ด้วยการ วางแนวคิดให้ไทยเป็นดินแดนรักษาความรักจืดจางหรือเป็นสถานที่สายความสัมพันธ์คู่รักให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น เนื่องจากขณะนี้กลุ่มเป้าหมายในลักษณะนี้มีอยู่จำนวนมากในยุโรป
ขณะเดียวกันกระแสการทำตลาดด้านการท่องเที่ยวในอนาคต จะเน้นเรื่องของการสะท้อนอารมณ์และความรู้สึกของลูกค้า ดังนั้นหากจับตลาดในกลุ่มคู่รักห่างเหินได้ถูกจุดเชื่อว่าจะช่วยจูงใจนักท่องเที่ยวให้มาไทยได้เพิ่มขึ้น "คู่รักบางคู่อาจแต่งงานกันมานานแล้ว ลืมไปแล้วว่าจับมือกันครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่ หรือไม่ได้กลับมากินข้าวเย็นที่บ้านนานแล้วแค่ไหน ซึ่งการที่ได้มาท่องเที่ยวประเทศไทยด้วยกันจะ มีโอกาสได้ทบทวนความสัมพันธ์และความรักที่เคยมีต่อกัน เพื่อให้ความสัมพันธ์ที่เคยเลือนลางไป กลับมาหวานชื่นอีกครั้ง
เชื่อว่าการทำตลาดแบบนี้จะแตกต่างจากประเทศอื่น และลึกซึ้งกว่าคู่รักใหม่หรือคู่แต่งงานใหม่ทั่วไปซึ่งไปเที่ยวสถานที่ใดก็หวานสดชื่นอยู่แล้ว ซึ่งเป็นแผนที่ต้องทำไว้ล่วงหน้า เพื่อให้สำนักงานที่อยู่ทั่วภูมิภาคยุโรปได้เตรียมตัวดำเนินการตามแผนที่วางไว้" นายธเนศวร์ กล่าวว่า การทำการตลาดในภูมิภาคยุโรป และตะวันออกกลาง ของปี 59 ต้องทำพร้อมกันทั้ง 3 ส่วน คือการตลาด การขาย และการสื่อสารโดยเชื่อมโยงกับสื่อมวลชนเพื่อเผยแพร่ข้อมูล
โดยการสร้างจำนวนของนักท่องเที่ยวกลุ่มภูมิภาคยุโรป และตะวันออกกลาง คงเป็นลักษณะของการเก็บตัวเลขตลาดเล็กๆในทุกประเทศและขยายตลาดในเมืองรองของประเทศต่างๆ ทั้งฝรั่งเศส เยอรมัน อังกฤษ ส่วนตลาดรัสเซีย ที่เคยมีนักท่องเที่ยวเข้าประเทศไทยปีละ 1.7 ล้านคนแบบที่เคยเกิดขึ้นคงไม่ได้เห็นอีก 2 -3 ปี เนื่องจากรัสเซียมีปัญหาเศรษฐกิจภายในประเทศ จึงจะต้องหาตลาดขนาดกลางและเล็กที่อยู่ในกลุ่มประเทศอุซเบกิสถาน คาซัคสถาน และยูเครนมาแทน อย่างไรก็ตามการลดลงของตลาดรัสเซียพบว่าส่วนใหญ่เป็นตลาดระดับกลางและล่าง ดังนั้น จากนี้ไปททท.จะพุ่งเป้าทำตลาดกลางและบนของรัสเซียให้มากขึ้นด้วย“
ที่มา : www.dailynews.co.th/economic/320986