พลเอกฉัตรชัย สาริกัลยะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ในวันที่ 19 มิ.ย.58 นี้จะมีการเปิดโครงการร้านโลว์คอสต์ สโตร์ หรือร้านจำหน่ายสินค้าราคาประหยัด ที่กระทรวงพาณิชย์ เพื่อเพิ่มทางเลือกในการซื้อสินค้าให้ประชาชน ตามที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้มอบหมายให้ก..
พลเอกฉัตรชัย สาริกัลยะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ในวันที่ 19 มิ.ย.58 นี้จะมีการเปิดโครงการร้านโลว์คอสต์ สโตร์ หรือร้านจำหน่ายสินค้าราคาประหยัด ที่กระทรวงพาณิชย์ เพื่อเพิ่มทางเลือกในการซื้อสินค้าให้ประชาชน ตามที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้มอบหมายให้กระทรวงพาณิชย์ดูแลเรื่องค่าครองชีพประชาชน ซึ่งภาครัฐไม่ได้ใช้งบประมาณในโครงการดังกล่าว
แต่กระทรวงพาณิชย์จะเข้าไปเป็นตัวกลางเชื่อมโยงให้ร้านค้าปลีก-ส่ง ที่รวมกลุ่มกันซื้อสินค้าจำนวนมากจากผู้ผลิต ซึ่งการซื้อจำนวนมากจะเป็นการช่วยลดต้นทุนให้ร้านค้า และจะทำให้การจำหน่ายต่อให้ประชาชนจะมีราคาที่ถูกตามไปด้วย เบื้องต้นมีจะมีร้านค้าที่เข้าร่วมในโครงการ 136 ร้าน ในจังหวัดนำร่อง อาทิ ห้างแจ่มฟ้า จังหวัดลำพูน, ห้างเกียรติสินโฮเทล จังหวัดข่อนแก่น, ร้านศรีสมัยค้าส่ง จังหวัดยะลา และบริษัท ดีดี ธัญการย์ กรุงเทพ เป็นต้น โดยภายในร้านที่เข้าร่วมโครงการจะจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภคไม่น้อยกว่า 30 รายการ ทั้ง น้ำดื่ม ข้าวสาร น้ำมันพืช สบู่ แชมพู และยาสีฟัน และในอนาคตก็มีแผนจะขยายโครงการให้ครอบคลุมทั่วประเทศ
"สินค้าเหล่านี้จะจำหน่ายในราคาถูกกว่าท้องตลาดได้ เพราะไม่มีต้นทุนด้านการบริหารจัดการ ต้นทุนค่าโฆษณา ซึ่งกระทรวงฯ จะช่วยประชาสัมพันธ์ให้อีกทาง และในการสั่งซื้อจากผู้ผลิตก็ได้ราคาถูกกว่าปกติ เนื่องจากเป็นการรวมกลุ่มกันซื้อ โดยกระทรวงพาณิชย์เป็นผู้ช่วยประสานงานไปยังผู้ผลิตให้" พลเอกฉัตรชัย กล่าว
ขณะเดียวกันในวันศุกร์ที่ 12 มิ.ย.58 ทางกระทรวงพาณิชย์จะหารือร่วมกับ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงมหาดไทย ถึงการผลิต และจำหน่ายข้าวสารบรรจุถุง ให้กับประชาชนที่มีรายได้น้อย ตามแนวคิดของนายกรัฐมนตรี ที่ได้สั่งการลงมาในการประชุมคณะรัฐมนตรีในวันนี้(9 มิ.ย. 2558) โดยในที่ประชุมจะหารือถึงวิธีการผลิต วิธีการจำหน่ายให้ข้าวถึงมือประชาชนที่มีรายได้น้อยจริงๆ รวมถึงปริมาณ ความเหมาะสม และรายละเอียดต่างๆ โดยเบื้องต้น กระทรวงพาณิชย์จะเป็นผู้รับผิดชอบในการจัดหาข้าว ซึ่งจะเป็นข้าวดี มีคุณภาพผ่านเกณฑ์มาตราในคลังของรัฐ รวมถึงดูความเหมาะสมในเรื่องของราคาจำหน่าย ส่วนกระทรวงเกษตรฯ จะรับหน้าที่ในการดูแลการผลิต การบรรจุถุง และกระทรวงมหาดไทย จะดูแลเรื่องการส่งข้าวให้ถึงมือผู้มีรายได้น้อย โดยยืนยันว่าราคาข้าวถึงของรัฐที่จัดทำจะมีราคาถูกกว่าท้องตลาดแน่นอน
นอกจากนี้ จากการเดินทางเยือนญี่ปุ่นระหว่างวันที่ 2-6 มิ.ย.ที่ผ่านมา ทางญี่ปุ่นได้พิจารณานำเข้าข้าวไทยเพิ่มขึ้นเป็น 3.25 แสนตัน จากปีที่แล้วนำเข้า 2.95 แสนตัน และจะนำเข้ายางพาราและผลิตภัณฑ์ โดยจะจัดคณะเดินทางมาเจรจาในไทยเร็วๆ นี้ รวมถึงจะนำเข้าไก่แปรรูป ไก่สดแช่เย็นแช่แข็งเพิ่มขึ้นอีก 5% จากมูลค่านำเข้าประมาณ 1 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ ขณะเดียวกัน ได้แจ้งว่า มีความต้องการขยายตลาดธุรกิจสปาเพิ่มขึ้นด้วย รวมถึงญี่ปุ่นได้แจ้งว่าสนใจที่จะลงทุนในเขตเศรษฐกิจพิเศษของไทย และยืนยันว่าไทยยังคงเป็นฐานการผลิตยานยนต์เพื่อส่งออกไปอาเซียนและทั่วโลก รวมทั้งขอให้ไทยกำหนดวันเจรจาเปิดตลาดสินค้ารถยนต์ขนาด 3000 ซีซี และการลดภาษีสำหรับสินค้าชิ้นส่วนยานยนต์ภายใต้ JTEPA
อีกทั้งในวันที่ 10-14 มิ.ย.2558 นี้กระทรวงฯ มีแผนที่จะจัดงานมหกรรมการค้าชายแดน ครั้งที่ 4 ที่ จ.สงขลา ที่ศูนย์ประชุมนานาชาติ 60 ปี มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ โดยจะจัดแสดงและจำหน่ายสินค้าทั้งไทยและมาเลเซียรวม 300 คูหา การจัดกิจกรรมจับคู่ธุรกิจไทย-มาเลเซีย 150 ราย
ที่มา http://www.naewna.com/business/162367