นายรังสรรค์ ศรีวรศาสตร์ ปลัดกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ได้สั่งการให้กรมศุลกากรและกรมสรรพากรเร่งตรวจสอบการทำธุรกิจเกี่ยวกับการรับจ้างสั่งซื้อล่วงหน้าจากต่างประเทศ (พรีออเดอร์)หรือรับหิ้วของจากต่างประเทศมาขาย ผ่านโซเชียล เนตเวิร์ก เช่น โปรแกรม เฟซบุ๊ค ไอจี ไลน์ เป็นต้น เนื่องจากปั..
นายรังสรรค์ ศรีวรศาสตร์ ปลัดกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ได้สั่งการให้กรมศุลกากรและกรมสรรพากรเร่งตรวจสอบการทำธุรกิจเกี่ยวกับการรับจ้างสั่งซื้อล่วงหน้าจากต่างประเทศ (พรีออเดอร์)หรือรับหิ้วของจากต่างประเทศมาขาย ผ่านโซเชียล เนตเวิร์ก เช่น โปรแกรม เฟซบุ๊ค ไอจี ไลน์ เป็นต้น เนื่องจากปัจจุบันพบว่าเริ่มมีจำนวนมากขึ้น แต่ไม่ได้เสียภาษีอย่างถูกต้องตามกฎหมายที่กำหนดไว้ โดยเฉพาะการทำอาชีพเสริมของพนักงานต้อนรับบนเครื่องบิน (แอร์โฮเตส-สจ๊วต), มัคคุเทศก์ (ไกด์) ด้วยการเดินทางไปยังประเทศต่างๆ และนำของเข้ามาขายในประเทศในลักษณะหิ้วของเข้ามาขาย แต่ไม่ได้เสียภาษีให้ถูกต้อง ซึ่งต้องเร่งดำเนินการเรื่องนี้อย่างเร่งด่วน เพื่อให้การจัดเก็บรายได้ของภาครัฐและการเสียภาษีที่กฎหมายกำหนดไว้มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น
ทั้งนี้ การทำธุรกิจพรีออเดอร์ ที่หิ้วสินค้าจากต่างประเทศเข้ามาขาย จะมีภาษีที่เกี่ยวข้องทั้ง 2 กรมภาษี ได้แก่ ภาษี 3ส่วน แบ่งเป็น กรมศุลกากร ที่เป็นภาษีอากรขาเข้าประเทศ หากตรวจสอบและพบว่าสิ่งของดังกล่าวไม่ได้เป็นของส่วนตัวเพื่อนำมาใช้เอง หรือมีมูลค่าเกินกว่า 20,000 บาท และจะเกี่ยวข้องกับกรมสรรพากร ที่ต้องยื่นแจ้งรายได้เสียภาษีบุคคลธรรมดาประจำปีภาษี โดยต้องนำรายได้จากการดำเนินธุรกิจดังกล่าว เข้ามารวมกับรายได้ที่ได้ประจำเพื่อยื่นเสียภาษีด้วย แต่ปัจจุบันยังพบว่ามีบางส่วนที่ไม่นำรายได้ดังกล่าวเข้ามารวมไว้ ส่งผลให้การยื่นเสียภาษีบุคคลธรรมดาไม่ตรงกับความเป็นจริง
นอกจากนี้ ผู้ประกอบการที่เป็นผู้ผลิตหรือเป็นผู้ที่ขาย สินค้าหรือให้บริการในทางธุรกิจหรือวิชาชีพ เป็นปกติธุระไม่ว่าจะประกอบกิจการในรูปของบุคคลธรรมดา คณะบุคคล หรือห้างหุ้น ส่วนสามัญที่มิใช่นิติบุคคลหรือนิติบุคคลใดๆ หากมีรายรับจากการขายสินค้าหรือให้บริการ เกินกว่า 1.8 ล้านบาทต่อปี และมีหน้าที่ต้องยื่นคำขอจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (แวต) เพื่อเป็นผู้ประกอบการจดทะเบียน ตามที่กฎหมายกำหนดไว้
รายงานข่าวจากกระทรวงการคลัง กล่าวว่า ปัจจุบันพบว่ามีการทำธุรกิจพรีออเดอร์จำนวนมาก ทั้งการรับหิ้วของจากต่างประเทศมาขายของผู้ประกอบธุรกิจดังกล่าว แต่บวกราคาเพิ่มขึ้น ส่งผลต่อส่วนต่างของรายได้ที่มีจำนวนมากจากการเฉลี่ยรายได้ในแต่ละปี แต่ยังเสียภาษีไม่ถูกต้อง ซึ่งถือว่าไม่เป็นธรรมกับผู้ประกอบการที่ทำตามกฎหมายกำหนดไว้ ทำให้กรมศุลกากร และกรมสรรพากร ต้องเร่งตรวจสอบและดำเนินการให้ถูกต้อง เพื่อเพิ่มให้การจัดเก็บรายได้ภาครัฐให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมา กรมศุลกากร ได้ปรับเพิ่มวงเงินของส่วนตัว สำหรับผู้ที่เดินทางเข้ามาประเทศไทย ทั้งนักท่องเที่ยวชาวไทยและชาวต่างชาติ จากเดิม 10,000 บาท เป็น 20,000 บาท เพื่อความเหมาะสมและสอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของมูลค่าเงินในปัจจุบัน ถือว่าเพียงพอต่อการซื้อของใช้ส่วนตัว แต่ไม่ได้เป็นการสนับสนุนการนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศมาขาย เพราะไม่ได้เป็นไปตามข้อกฎหมายที่กำหนดไว้ ซึ่งเจ้าหน้าที่จะมีการสุ่มตรวจสอบนั้นจะดูพฤติกรรมการเดินทางเป็นหลัก เช่น บางรายนี้เดินทางไปยุโรปบ่อยเกือบทุกเดือน เพื่อไปหิ้วกระเป๋าแบรนด์เนม หรือนาฬิกามาขายก็มี โดยจะเรียกตรวจสอบเพื่อเสียภาษีให้ถูกต้อง.
ที่มา แนวหน้า