กระทรวงอุตสาหกรรม เดินหน้าขับเคลื่อนแผนแม่บทพัฒนาอุตสาหกรรมไทย ตามแนวทางการดำเนินงาน 3 ระยะ เพื่อผลักดันอุตสาหกรรมไทยสู่ความมั่นคงและยั่งยืน
กระทรวงอุตสาหกรรม เดินหน้าขับเคลื่อนแผนแม่บทพัฒนาอุตสาหกรรมไทย ตามแนวทางการดำเนินงาน 3 ระยะ เพื่อผลักดันอุตสาหกรรมไทยสู่ความมั่นคงและยั่งยืน
นายประสงค์ นิลบรรจง รองอธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า จากภาพรวมแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงของโลกในบริบทใหม่ ส่งผลให้การพัฒนาอุตสาหกรรมไทยในภาพรวม จำเป็นต้องปรับเปลี่ยนวิสัยทัศน์ในการกำหนดทิศทางการพัฒนา เตรียมพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงทั้งในด้านเศรษฐกิจ สังคม และสภาพแวดล้อม เพื่อยกระดับศักยภาพของอุตสาหกรรมไทยให้มีความสามารถในการแข่งขันกับนานาประเทศได้ในอนาคต
ทั้งนี้ หากเจาะลึกจะพบว่ารายได้ส่วนใหญ่ของภาคอุตสาหกรรมเกิดจากการผลิตเพื่อส่งออก โดยสินค้าที่เป็นสินค้าหลักจะกระจุกตัวอยู่ในกลุ่มสินค้าที่ต้องใช้เทคโนโลยีระดับกลางและระดับสูงในการผลิต รวมทั้งยังต้องพึ่งพาการนำเข้าชิ้นส่วนเครื่องจักร เทคโนโลยี และเงินทุนจากต่างประเทศ ทำให้ผู้ประกอบการโดยเฉพาะกลุ่มวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม หรือ SME ซึ่งมีสัดส่วนมากกว่า ร้อยละ 95 ของจำนวนผู้ประกอบการทั่วทั้งประเทศ ต้องเผชิญกับความท้าทายและอุปสรรคต่างๆ
ดังนั้น เพื่อช่วยเหลือและส่งเสริมผู้ประกอบการไทยให้เติบโตอย่างมั่นคง กระทรวงอุตสาหกรรมจึงได้เดินหน้าขับเคลื่อนแผนแม่บทพัฒนาอุตสาหกรรมไทยอย่างต่อเนื่อง โดยแบ่งออกเป็น 3 ระยะดำเนินการดังนี้
ในระยะที่ 1 เน้นการเชื่อมโยงอุตสาหกรรมไทยเข้าเป็นส่วนหนึ่งของฐานการผลิตและบริการในภูมิภาคอาเซียน โดยมีการพัฒนาเทคโนโลยีนวัตกรรมที่สำคัญในการผลิตสินค้าอุตสาหกรรมอย่างต่อเนื่อง และเป็นฐานการผลิตที่สำคัญของโลก
จากนั้นในระยะที่ 2 จากเป้าหมายการพัฒนาและส่งเสริมให้ประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางการผลิตและบริการในกลุ่มอาเซียน ซึ่งเป็นการยกระดับภาคอุตสาหกรรมของไทยระยะแรกในช่วง 5 ปีจะมีการพัฒนาต่อยอดโดยเน้นการเป็นฐานการผลิตและบริการในระดับภูมิภาค ซึ่งมีตราสินค้าที่มีเครือข่ายการจัดการกระจายสินค้าในภูมิภาคอย่างทั่วถึง โดยมีการสร้างฐานงานวิจัยและพัฒนาสินค้าในอาเซียน ซึ่งมีการสร้างและกำหนดมาตรฐานผลิตภัณฑ์หลักของประเทศไทยให้เป็นที่ยอมรับของสากล
และในระยะที่ 3 พัฒนาสู่การเป็นผู้บริหารจัดการตราสินค้า โดยมีการสร้างเครือข่ายการผลิตและบริการร่วมกับภูมิภาคต่างๆของโลก ซึ่งจะส่งเสริมและพัฒนาผู้ประกอบการของประเทศไทยให้เริ่มก้าวสู่การเป็นบริษัทชั้นนำของโลกผ่านการสร้างตราสินค้าของไทยให้เป็นที่รู้จัก และมีเครือข่ายการจัดจำหน่ายสินค้ากระจายอยู่ทั่วทุกภูมิภาค เพื่อกระจายไปสู่ประเทศต่างๆ ทั่วโลก
นายประสงค์ กล่าวต่อว่า จากการดำเนินงานขับเคลื่อนอุตสาหกรรมไทย ตามแผนแม่บทของกระทรวงอุตสาหกรรมดังกล่าวกรมส่งเสริมอุตสาหกรรมจึงได้กำหนดกลยุทธ์ผลักดันการพัฒนา 5 กลุ่มอุตสาหกรรมทำเงินให้มีศักยภาพเทียบเท่าผู้นำในตลาดโลก ได้แก่
1.อุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม ประเทศไทยมีศักยภาพและความพร้อมทั้งในด้านของวัตถุดิบและบุคลากรค่อนข้างมาก แนวทางการพัฒนาจึงต้องมุ่งสู่การเป็นฐานการผลิตในอาเซียนและขยายช่องทางการตลาดให้เข้าถึงประเทศต่างๆเพิ่มมากขึ้น รวมทั้งการสร้างและประชาสัมพันธ์ตราสินค้าไทยให้เป็นที่ยอมรับในระดับสากล ควบคู่กับการสร้างมาตรฐานการผลิตและเน้นการสร้างฐานการวิจัยและพัฒนาอุตสาหกรรมอาหารต่อไปในอนาคต เพื่อให้เกิดการยกระดับของอุตสาหกรรมอาหารไทยอย่างต่อเนื่อง
2.อุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วนมีมูลค่าส่งออกรถยนต์เครื่องยนต์ ชิ้นส่วนรถยนต์ และอะไหล่ ในช่วง 8 เดือนแรกของปี 2558 มียอดส่งออกถึง 1.26 ล้านคัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา 1.36% โดยไทยมีบทบาทในการเป็นผู้ผลิตตามเจ้าของตราสินค้าที่เป็นบริษัทข้ามชาติเข้ามาลงทุน จึงต้องสร้างแรงงานและโครงสร้างสนับสนุนให้มีความพร้อม เพื่อดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง และขยายไปสู่การส่งเสริมการพัฒนาอุตสาหกรรมชิ้นส่วนยานยนต์ และผลักดันให้เกิดการใช้วัตถุดิบจากภายในประเทศมากกว่าการนำเข้าจากต่างประเทศ
3.อุตสาหกรรมสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่มสร้างมูลค่าได้มากกว่า 2 ล้านล้านบาทต่อปี โดยในปัจจุบันไทยเป็นผู้รับจ้างผลิตตามคําสั่งซื้อ ดังนั้น แนวทางการพัฒนาจึงต้องยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการเพิ่มมากขึ้นและสร้างความร่วมมือในการขยายเครือข่ายการผลิตไปยังผู้ประกอบการในภูมิภาค เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดในการผลิต จากนั้นต้องส่งเสริมการยกระดับศักยภาพผู้ประกอบการไทยสู่การออกแบบและการดําเนินการทางตลาดเพื่อสร้างตราสินค้าไทยให้เป็นที่ยอมรับในระดับนานาชาติ
4.อุตสาหกรรมยางและผลิตภัณฑ์ยาง มีมูลค่าส่งออกมากกว่า 3.7 แสนล้านบาท ในปี 2557 โดยปัจจุบันประเทศไทยมีการส่งออกยางเป็นอันดับ 1 ของโลก แต่เป็นการส่งออกในรูปของน้ำยางซึ่งมีมูลค่าเพิ่มในตัวสินค้าค่อนข้างน้อย จึงจําเป็นต้องอาศัยการสนับสนุนการวิจัยและพัฒนาอุตสาหกรรมยางแปรรูป เพื่อนําไปสู่การสร้างตราสินค้าของไทย ซึ่งจะเป็นการเพิ่มบทบาทและความสําคัญในอุตสาหกรรมยางในระดับโลกมากขึ้น ทําให้มีอํานาจในการต่อรองและกําหนดทิศทางราคายาง ตลอดจนการควบคุมกลไกการผลิตยางในอนาคตได้
5.อุตสาหกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์มีมูลค่าส่งออกในปี 2557 กว่า 2 ล้านล้านบาท โดยแนวทางการพัฒนาในระยะสั้นนั้นต้องเริ่มต้นจากการปรับเปลี่ยนโครงสร้างสนับสนุนให้มีความเหมาะสมต่อการประกอบการธุรกิจ โดยเฉพาะด้านแรงงานและกฎระเบียบและก้าวถัดมานั้นต้องมุ่งเน้นสู่การพัฒนาแหล่งวิจัยเทคโนโลยีการออกแบบสินค้าเพิ่มมากขึ้น รวมทั้งขยายการตลาดไปในภูมิภาค และมุ่งสู่การสร้างภาพลักษณ์ตราสินค้าไทยให้มีมาตรฐานและเป็นที่ยอมรับในระดับสากล
www.smethailandclub.com
ศูนย์รวมข้อมูลเพื่อความสำเร็จของธุรกิจ SME (เอสเอ็มอี)