"โสฬส" โต้ทำ SME Bank เจ๊งหนี้เสีย 4 หมื่นล้านคิดไปเอง

" โสฬส” โต้บอร์ดSME Bank ประเมินหนี้เสียจะพุ่งถึง 4 หมื่นล้านคิดกันไปเอง และที่ขาดทุน 1,200 ล้าน เพราะปล่อยสินเชื่อได้น้อย เหตุเจ้าหน้าที่เกรงความผิดจึงไม่กล้าปล่อย




 " โสฬส” โต้บอร์ดSME Bank ประเมินหนี้เสียจะพุ่งถึง 4 หมื่นล้านคิดกันไปเอง และที่ขาดทุน 1,200 ล้าน เพราะปล่อยสินเชื่อได้น้อย เหตุเจ้าหน้าที่เกรงความผิดจึงไม่กล้าปล่อย

นายโสฬส สาครวิศว กรรมการผู้จัดการธนาคารเพื่อพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอีแบงก์) กล่าวว่า จากที่คณะกรรมการเอสเอ็มอีแบงก์ได้ประเมินว่า เอ็นพีแอลของธนาคารจะเพิ่มขึ้นเป็น 4 หมื่นล้านบาท หรือ 40% ของหนี้ทั้งหมดนั้น เป็นสิ่งที่กรรมการคาดการณ์กันไปเอง เพราะยังไม่ได้เกิดขึ้นจริงแต่อย่างใด  ส่วนผลการดำเนินงานของธนาคาร 6 เดือนที่ผ่านมา ซึ่งขาดทุนถึง 1,200 ล้านบาท เกิดจากปล่อยสินเชื่อใหม่ได้น้อยเพียง 700-800 ล้านบาท จากที่ตั้งเป้าทั้งปี 3 หมื่นล้านบาท เนื่องจากเจ้าหน้าที่ไม่กล้าปล่อยเพราะกลัวมีความผิดว่าดำเนินการไม่ถูกต้อง

นอกจากนี้ สินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) ของธนาคารเพิ่มขึ้นเป็น 1.8 หมื่นล้านบาท หรือ 17-18% ของสินเชื่อทั้งหมด เพราะไม่มีการแก้ไข เนื่องจากมีปัญหาการดำเนินการภายในจากการปรับโครงการสร้างองค์กรใหม่ตามนโยบายของคณะกรรมการ

ทั้งนี้ การมีข่าวว่าธนาคารมีปัญหาหนี้เสียเพิ่ม ทำให้ผู้ฝากเงินรายใหญ่ขอถอนเงินจากธนาคารไปเป็นจำนวนมาก ทำให้ธนาคารต้องเพิ่มอัตราดอกเบี้ยเพื่อให้ผู้ฝากเงินอยู่ต่อ ส่งผลให้ต้นทุนธนาคารสูง เป็นอีกเหตุผลหนึ่งทำให้ธนาคารขาดทุนจำนวนมาก

สำหรับการยื่นใบลาออกของตนนนั้น ขณะนี้ได้แก้ไขใบลาออกและได้ยื่นให้คณะกรรมการของธนาคารพิจารณาใหม่แล้ว จากเดิมที่ขอให้การลาออกมีผลวันที่ 4 ต.ค.2556 - 5 พ.ย.2556 เพื่อให้มีผลก่อน 90 วัน ตามสัญญาการว่าจ้างที่ให้ทำงานถึงวันที่ 4 ก.พ.2556

สำหรับกรณีที่นายนริศ ชัยสูตร อธิบดีกรมธนารักษ์ ในฐานะประธานเอสเอ็มอีแบงก์ ให้ยื่นใบรับรองแพทย์มาให้คณะกรรมการ เนื่องจากการลาออกระบุเหตุผลว่ามีปัญหาเรื่องสุขภาพนั้น นายโสฬสยืนยันว่า ไม่มีความจำเป็น เพราะที่ผ่านมามีผู้บริหารลาออกด้วยเหตุผลดังกล่าว ก็ไม่จำเป็นต้องใช้ใบรับรองแพทย์แต่อย่างใด

    ทั้งนี้ หากกรรมการไม่อนุมัติการลาออก ก็จะส่งผลให้ตนยังต้องทำงานในหน้าที่ต่อไป แต่ในทางปฏิบัติไม่สามารถดำเนินการอะไรได้มาก ส่วนคณะกรรมการจะปลดหรือเลิกจ้างตนหรือไม่นั้น เป็นอำนาจของคณะกรรมการ ซึ่งก็จะหาทางปกป้องสิทธิทางกฎหมายด้านอื่นๆ ต่อไป
   
     

NEWS & TRENDS