บอร์ด SME เห็นชอบตั้งอนุกรรมการบริหาร สสว.พร้อมอนุมัติงบประมาณปี 2559 กว่า 1,977.645 ล้านบาทเดินหน้างานบูรณาการส่งเสริม SME ร่วมกับกระทรวงอุตสาหกรรม พาณิชย์ วิทยาศาสตร์ฯ เล็งตั้งศูนย์บริการ OSS สสว. ในภูมิภาค 31 แห่งและตั้งร้านค้าประชารัฐ 148 แห่งทั่วประเทศเชื่อมั่นจะสร้างปร..
บอร์ด SME เห็นชอบตั้งอนุกรรมการบริหาร สสว.พร้อมอนุมัติงบประมาณปี 2559 กว่า 1,977.645 ล้านบาทเดินหน้างานบูรณาการส่งเสริม SME ร่วมกับกระทรวงอุตสาหกรรม พาณิชย์
วิทยาศาสตร์ฯ เล็งตั้งศูนย์บริการ OSS สสว. ในภูมิภาค 31 แห่งและตั้งร้านค้าประชารัฐ 148 แห่งทั่วประเทศเชื่อมั่นจะสร้างประโยชน์สู่ผู้ประกอบการ SME ทุกกลุ่มทั่วประเทศให้แข้มแข็ง
นางสาลินี วังตาลผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.)เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม(เฉพาะกิจ) ครั้งที่ 1/2559 ซึ่งมี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชานายกรัฐมนตรี เป็นประธานฯ โดยการประชุมในครั้งนี้ คณะกรรมการส่งเสริมฯมีมติให้ความเห็นชอบการจัดสรรเงินกองทุนของสสว. จำนวน 1,977.645 ล้านบาทตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 27 ตุลาคม 2558 เพื่อบูรณาการงานส่งเสริม SME ของประเทศให้เติบโตได้ตามศัยภาพ โดยจัดสรรเงินกองทุนออกเป็น 6 ส่วนประกอบด้วย
1. จัดสรรเงินกองทุน 437.17 ล้านบาท ให้กับ 3 กระทรวงดำเนินงาน9 โครงการ ประกอบด้วย 1) กระทรวงอุตสาหกรรม งบประมาณ 100 ล้านบาทเพื่อดำเนินโครงการยกระดับผลิตภัณฑ์ SMEs สู่ตลาดโลกโครงการแปลงเครื่องจักรเป็นทุนและโครงการปรับเปลี่ยนเครื่องจักรสำหรับผู้ประกอบการเอสเอ็มอี 2) กระทรวงพาณิชย์ งบประมาณ 187.17 ล้านบาทเพื่อดำเนินโครงการสร้างนักการค้ามืออาชีพโครงการกฎหมายหลักประกันทางธุรกิจ : สร้างโอกาส SME ไทยเข้าถึงแหล่งเงินทุน และโครงการแฟรนไชส์ไทยสู่ตลาดโลก
3)กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี งบประมาณ 150 ล้านบาทเพื่อดำเนินโครงการสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยีของอุตสาหกรรมไทย (ITAP)โครงการคูปองนวัตกรรมเพื่อพัฒนา SME สู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนระยะต่อเนื่อง โครงการสร้างผู้ประกอบการธุรกิจเทคโนโลยีนวัตกรรมใหม่และโครงการขับเคลื่อนผลงานวิจัยสู่เชิงพาณิชย์
2. จัดสรรเงินกองทุน 1,000 ล้านบาทเพื่อจัดตั้งกองทุนพลิกฟื้น SME โดยให้ สสว. ดำเนินการให้ความช่วยเหลือSME และธุรกิจการเกษตรที่ไม่สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ ซึ่ง สสว.จะคัดเลือกจากลูกค้าธนาคารของรัฐ ซึ่งมีปัญหาในการจ่ายชำระหนี้แต่มีความบริสุทธิ์ใจ และมีเจตนาที่จะทำกิจการต่อไป หรือ SME ที่เป็นนิติบุคคล ซึ่งส่งงบการเงินให้กับกระทรวงพาณิชย์อย่างสม่ำเสมอและมียอดขายลดลงค่อนข้างมากอย่างต่อเนื่องในช่วงเวลา 3 ปี
โดยวินิจฉัยเชิงลึกเป็นรายกิจการเพื่อหาประเด็นที่จำเป็นต้องปรับปรุงทั้งในด้านการผลิต และการจำหน่าย และหาก SME รายใดมีความตั้งใจที่จะประกอบธุรกิจต่อไป และยังมีศักยภาพเพียงพอ สสว.จะประสานงานกับเจ้าหนี้เดิมเพื่อขอปรับปรุงโครงสร้างหนี้ ในกรณีที่ SME ที่ได้ปรับโครงสร้างหนี้แล้ว จำเป็นต้องได้รับสภาพคล่องเพิ่ม สสว.จะพิจารณา ให้กู้ยืมจากกองทุนพลิกฟื้นของ สสว. เป็นเงินกู้ระยะยาวไม่ต้องจ่ายดอกเบี้ย
3. จัดสรรเงินกองทุน 200 ล้านบาท ดำเนินโครงการพัฒนาผู้ประกอบการใหม่ (Start-up) โดยบูรณาการความร่วมมือกับมหาวิทยาลัยราชมงคล 9 แห่ง ซึ่งมีศูนย์บ่มเพาะ 35 ศูนย์กระจายกันอยู่ทั่วประเทศในทุกสาขาอาชีพ เช่น เกษตรแปรรูป ออกแบบงานด้านวิศวกรรม ฯลฯ โดยธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) ให้การสนับสนุนด้านการเงินแก่ผู้ประกอบการใหม่และนักธุรกิจที่เป็นสมาชิกของสมาพันธ์เอสเอ็มอี สภาหอการค้าแห่งประเทศไทยสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย รับเป็นพี่เลี้ยงให้ผู้ประกอบการใหม่ตั้งเป้าหมายสร้างผู้ประกอบการใหม่ 3-4 หมื่นราย
4. จัดสรรเงินกองทุน 200 ล้านบาท ดำเนินโครงการส่งเสริม SME ที่ทำกิจการอยู่แล้วให้เติบโตได้ยิ่งขึ้น (SME Strong/Regular) โดย สสว.จะทำงานร่วมกับมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
และมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรีและจะให้ผู้เชี่ยวชาญเข้าวินิจฉัยในเชิงลึกเป็นรายกิจการและหาทางช่วยปรับปรุงการผลิตการให้บริการ และการจำหน่ายธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.)จะให้การสนับสนุนทางด้านการเงินในกรณีที่ SME ต้องการปรับปรุงหรือขยายกิจการ โดยมีเป้าหมาย 10,000 ราย ภายในปี 2559
5. จัดสรรเงินกองทุน 40.475 ล้านบาท ดำเนินโครงการจัดตั้งศูนย์ให้บริการครบวงจร (SME One-stop Service Center : OSS) เพิ่มอีก 20แห่ง รวมเป็น 31 แห่งเพื่อทำหน้าที่เป็นเสมือนสาขาของสสว. คือ ให้คำปรึกษาแนะนำด้านธุรกิจแก่ SME เป็นตัวกลางประสานระหว่าง SME กับหน่วยงานภาครัฐและเอกชน ดูแล SME ที่ได้รับการส่งเสริมจากสสว.โดยตรงและจากหน่วยงานร่วมของ สสว.
ตลอดจนเป็นศูนย์กลางในการติดต่อและให้ข้อมูลรวมทั้งสร้าง Net workในเขตพื้นที่
6. จัดสรรเงินกองทุน 100 ล้านบาท ดำเนินโครงการประชารัฐเพื่อวิสาหกิจชุมชน จัดตั้งร้านค้าประชารัฐ จำนวน148 แห่งทั่วประเทศ เพื่อสนับสนุนผู้ผลิตสินค้า OTOPและวิสาหกิจชุมชนให้มีที่ขายสินค้าถาวรรวมทั้งปรับมาตรฐานสินค้าให้เป็นที่ต้องการของตลาดภายใต้การบูรณาการความร่วมมือ 5 หน่วยงาน ประกอบด้วยการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สนับสนุนการสร้างร้านค้าประชารัฐบริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) สนับสนุนพื้นที่ในสถานีบริการน้ำมัน ปตท.โดยไม่คิดค่าเช่า กรมการพัฒนาชุมชน และ สสว. ร่วมกันคัดสรรสินค้าจาก OTOPและวิสาหกิจชุมชน
โดยปรับมาตรฐานและรับรองคุณภาพสินค้ารวมทั้งช่วยดูแลการบริหารจัดการของร้านค้าประชารัฐ เช่นการจัดหาบุคลากรและการขนส่งสินค้า ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย(ธพว.) ช่วยสนับสนุนเงินทุนหมุนเวียนให้แก่ชุมชนที่ส่งสินค้ามาขายตั้งเป้าหมายให้ชุมชนสามารถบริหารร้านค้าประชารัฐได้ด้วยตนเองภายในเวลา 3ปี และสามารถยกระดับวิสาหกิจชุมชนขึ้นเป็นผู้ประกอบการ SME คาดว่าโครงการดังกล่าวจะเสร็จภายในไตรมาสแรกของปี 2559
นอกจากนี้ ที่ประชุมยังเห็นชอบในหลักการการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการบริหารสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมเพื่อให้การปฏิบัติงานของสสว. เป็นไปด้วยความคล่องตัว โดยมีนายสมคิดจาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เป็นที่ปรึกษากิตติมศักดิ์และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมเป็นประธานอนุกรรมการบริหาร
www.smethailandclub.com
ศูนย์รวมข้อมูลเพื่อความสำเร็จของธุรกิจเอสเอ็มอี