รายงานข่าวจากกระทรวงการคลัง แจ้งว่า กระทรวงการคลัง โดยบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) ได้ดำเนินโครงการค้ำประกันสินเชื่อในลักษณะ Package Guarantee Scheme สำหรับผู้ประกอบการ Micro Entrepreneurs วงเงิน 5,000 ล้านบาท ตามมติคณะรักษาความสงบแห่งชาติ เมื่อวันที่ 24 มิถุนา..
รายงานข่าวจากกระทรวงการคลัง แจ้งว่า กระทรวงการคลัง โดยบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) ได้ดำเนินโครงการค้ำประกันสินเชื่อในลักษณะ Package Guarantee Scheme สำหรับผู้ประกอบการ Micro Entrepreneurs วงเงิน 5,000 ล้านบาท ตามมติคณะรักษาความสงบแห่งชาติ เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2557 เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการ Micro Entrepreneurs ที่ได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจชะลอตัว ให้มีโอกาสเข้าถึงแหล่งเงินทุนจากระบบสถาบันการเงิน รวมถึงเพื่อแก้ไขปัญหาการกู้ยืมเงินนอกระบบของผู้ประกอบการ Micro Entrepreneurs ให้ลดลง
อย่างไรก็ดี โครงการดังกล่าวได้สิ้นสุดลงในวันที่ 31 ธันวาคม 2558 โดย บสย. อนุมัติค้ำประกันสินเชื่อเต็มวงเงิน 5,000 ล้านบาท ให้กับผู้ประกอบการ Micro Entrepreneurs เป็นจำนวนถึง 49,950 ราย แต่ยังมีผู้ประกอบการ Micro Entrepreneurs อีกจำนวนมากที่ยังไม่สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนจากระบบสถาบันการเงินได้
ดังนั้น เพื่อให้เกิดความต่อเนื่องในการช่วยเหลือผู้ประกอบการ Micro Entrepreneurs และช่วยลดปัญหาการกู้ยืมเงินนอกระบบของผู้ประกอบการ Micro Entrepreneurs คณะรัฐมนตรีจึงได้มีมติเมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2559 เห็นชอบโครงการค้ำประกันสินเชื่อเพื่อผู้ประกอบการ Micro Entrepreneurs ระยะที่ 2 วงเงิน 13,500 ล้านบาท แต่ครั้งนี้ได้มีการกำหนดเงื่อนไขเพิ่มเติมคือต้องเป็นผู้ประกอบการ Micro Entrepreneurs ที่มีทรัพย์สินถาวร (ไม่รวมที่ดิน) ไม่เกิน 5 ล้านบาท เพื่อให้ผู้ประกอบการรายย่อยสามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้มากขึ้น
โดย บสย. รับค้ำประกันต่อรายสูงสุดไม่เกิน 200,000 บาท ระยะเวลาการค้ำประกัน 10 ปี จ่ายค่าประกันชดเชยสูงสุดไม่เกินร้อยละ 20 บวกกับค่าธรรมเนียมที่ได้รับ และรัฐบาลจ่ายค่าธรรมเนียมแทนผู้ประกอบการในปีแรก ซึ่งผู้ประกอบการสามารถรับคำขอค้ำประกันได้จนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2560
ทั้งนี้ โครงการค้ำประกันสินเชื่อดังที่กล่าวข้างต้น จะสามารถช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้มากขึ้น เป็นการช่วยเสริมสร้างความเข้มแข็งให้แก่ SMEs ไทย รวมทั้งยังก่อให้เกิดเม็ดเงินมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ เป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศไทยต่อไป
ที่มา ประชาชาติธุรกิจออนไลน์