สนช.ไฟเขียวลดภาษีสินค้าไอที 524 รายการ

สนช.ไฟเขียวลดภาษีสินค้าไอที 524 รายการ ผู้ประกอบการไอทีเฮ ! สนช.ไฟเขียวลดภาษี 524 รายการตามกรอบดับเบิ้ลยูทีโอ ทำให้ลดการจ่ายภาษีในต่างประเทศได้ 4,700 ล้านบาท/ปี



    สนช.ไฟเขียวลดภาษีสินค้าไอที 524 รายการ ผู้ประกอบการไอทีเฮ ! สนช.ไฟเขียวลดภาษี 524 รายการตามกรอบดับเบิ้ลยูทีโอ ทำให้ลดการจ่ายภาษีในต่างประเทศได้ 4,700 ล้านบาท/ปี

    นางอภิรดี ตันตราภรณ์  รมว.พาณิชย์ เปิดเผยว่า  ขณะนี้สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) เห็นชอบให้ไทยลดภาษีศุลกากรภายใต้ความตกลงว่าด้วยการค้าสินค้าเทคโนโลยีสารสนเทศ (ไอทีเอ) ขององค์การการค้าโลก (ดับเบิ้ลยูทีโอ)  ซึ่งเป็นความตกลงฉบับใหม่ที่มีการขยายขอบเขตการลดภาษี และเพิ่มจำนวนสินค้าให้มากขึ้น โดยไทยจะมีการลดภาษีสินค้าไอทีจำนวน 524 รายการ เป็น 0%  แต่จะมีระยะเวลาในการลดภาษีแตกต่างกัน และคาดว่าจะมีผลบังคับใช้ได้ภายในวันที่ 1 ก.ค.59 

    ทั้งนี้ การเข้าร่วมลดภาษีภายใต้ความตกลงไอทีเอจะเป็นประโยชน์กับไทย ทำให้เศรษฐกิจขยายตัว 0.66% และทำให้สินค้าไทยลดการเสียภาษีในกรณีการส่งออกไปต่างประเทศได้ 4,700 ล้านบาท/ปี  โดยเฉพาะการส่งออกสินค้าไปยังประเทศที่ไม่มีการทำข้อตกลงการค้าเสรี (เอฟทีเอ) กับไทย เช่น สินค้ามอนิเตอร์ ที่ส่งออกไปสหรัฐฯ เพราะสหรัฐฯ ยังเก็บภาษี 5% และกล้องถ่ายโทรทัศน์ กล้องถ่ายบันทึกภาพดิจิทัล และกล้องถ่ายบันทึกวิดีโอ ที่ส่งออกไปสหภาพยุโรป (อียู) ที่ปัจจุบันอียูเก็บภาษี 14%

    “การลดภาษีสินค้าไอทีของสมาชิกดับเบิลยูทีโอทั้ง 52 ประเทศ ยังทำให้ขีดความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการไทยเพิ่มขึ้น เพราะสามารถนำเข้าวัตถุดิบภายใต้ความตกลงไอทีเอ ทำให้สินค้าสำเร็จรูปมีต้นทุนถูกลง และยังช่วยดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ โดยเฉพาะนโยบายรัฐบาลที่มีเป้าหมายผลักดันซุปเปอร์ คลัสเตอร์ เช่น เครื่องใช้ไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์ โทรคมนาคม และดิจิทัล รวมทั้งทำให้มูลค่าการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศในสาขาไอทีสูงขึ้น จากปัจจุบันที่มี 70,000 ล้านบาท และมีการจ้างงาน 65,000 คน”   

    นางอภิรดี กล่าวว่า ปัจจุบันมูลค่าการค้าสินค้าไอทีทั่วโลก มีสูงกว่า 1.3 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี ซึ่งสูงกว่ามูลค่าการค้ารถยนต์ของโลก หรือมูลค่าการค้าสิ่งทอ เสื้อผ้า และเหล็กรวมกัน โดยสมาชิกดับเบิ้ลยูทีโอที่ร่วมประกาศความสำเร็จในการเจรจา ไอทีเอ มีมูลค่าการค้าสินค้ารวมกันประมาณ 90% ของการค้าโลก โดยไทยมีมูลค่าการค้าสินค้าดังกล่าวในตลาดโลกเฉลี่ย 50,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 2 ล้านล้านบาทต่อปี มีส่วนแบ่งตลาดเป็นอับดับ 10 ของโลก โดยมีจีน สหรัฐ และอียู เป็นผู้ส่งออกอันดับ 1 ถึง 3 ของโลก “

ที่มา : http://www.dailynews.co.th/economic/386736

NEWS & TRENDS