เอสเอ็มอีเฮ! รัฐอัดงบอีก 2,000 ล้านบาท ชุบชีวิตธุรกิจคืนชีพ ระลอก 2จ่อคลอดเกณฑ์ภายใน 1 เดือน
เอสเอ็มอีเฮ! รัฐอัดงบอีก 2,000 ล้านบาท ชุบชีวิตธุรกิจคืนชีพ ระลอก 2จ่อคลอดเกณฑ์ภายใน 1 เดือน
นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ในฐานะประธานคณะกรรมการบริหารศูนย์ช่วยเหลือเอสเอ็มอี (SME Rescue Center) เปิดเผยถึงความคืบหน้าเกี่ยวกับเงินกองทุนพลิกฟื้นวิสาหกิจขนาดย่อม วงเงิน 2,000 ล้านบาท หลังผ่านการพิจารณาจากคณะรัฐมนตรีว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมการกำหนดหลักเกณฑ์ที่มีกระทรวงการคลังเป็นประธาน โดยคาดว่าจะใช้เวลาไม่เกิน 1 เดือนต่อจากนี้เพื่อช่วยเหลือเอสเอ็มอีที่มีปัญหาผ่านช่องทางของศูนย์ SME Rescue Center
“ศูนย์ SME Rescue Center มีงบประมาณ 1,000 ล้านบาทจากกองทุนพลิกฟื้นฯ เพื่อช่วยเหลือเอสเอ็มอีที่มีปัญหาด้านการเงิน ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างการดำเนินการจำนวน 500 กว่าเรื่อง คาดว่าจะช่วยผู้ประกอบการได้ 1,500-2,000 ราย สำหรับรายที่พร้อมและผ่านหลักเกณฑ์การพิจารณา และมีข่าวดีอีกข่าวหนึ่งของเอสเอ็มอีคือ รัฐบาลได้จัดสรรงบประมาณเพิ่มเติมให้อีก 2,000 ล้านบาท โดยคาดว่าภายใน 1 เดือนจากนี้ จะสามารถจัดทำหลักเกณฑ์ และกรอบขั้นตอนเสร็จ เพื่อให้เอสเอ็มอีมาขอรับความช่วยเหลือ เบื้องต้นจะเน้นในกลุ่มที่มีศักยภาพแต่ขาดสภาพคล่องทางการเงิน ส่วนผู้ประกอบการรายที่ประสบปัญหาขั้นรุนแรง ทางศูนย์ SME Rescue Center ก็จะเก็บข้อมูลไว้ และหาช่องทางช่วยเหลือต่อไป”นายสนธิรัตน์ กล่าว
ในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมามีเอสเอ็มอีซึ่งประสบปัญหาต่างๆ ติดต่อขอรับบริการจากศูนย์ SME Rescue Center รวมทั้งสิ้น 1,435 ราย จำนวน 2,711 เรื่อง ดำเนินการแล้วเสร็จ 129 ราย โดยเป็นปัญหาทางด้านการเงินมากที่สุด ร้อยละ 46 รองลงมาเป็นปัญหาทางด้านการตลาด ร้อยละ 20 การผลิต ร้อยละ 13 การบริหารจัดการ ร้อยละ 8 และอื่นๆ (ร้อยละ 14) คาดว่าภายใน 1 ปี จะมีผู้มาขอรับบริการประมาณ 20,000 ราย ทั้งนี้ ผู้ประกอบการสามารถใช้บริการที่ศูนย์ SME Rescue Center ผ่านทางหน่วยงานเครือข่าย 3,800 แห่งทั่วประเทศ หรือสายด่วน 1358 เว็บไซต์ www.smerescuecenter.com และwww.facebook.com/smerescuecenter
ด้านนายมงคล ลีลาธรรม กรรมการผู้จัดการ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย หรือ SME Developing Bank กล่าวเสริมว่า การจัดตั้งศูนย์ช่วยเหลือเอสเอ็มอี เราประสงค์ให้ธุรกิจเดินหน้าต่อไปได้โดยไม่ต้องเสียเวลาและเงินในการถูกดำเนินคดี บางรายเป็นคดีความแล้วกว่าจะสิ้นสุดกลับมาทำธุรกิจได้ต้องใช้เวลา 7-10 ปี ซึ่งเป็นความสูญเสียทางเศรษฐกิจอย่างมาก จากสถิติของเอสเอ็มอี 2-3 ล้านรายในปัจจุบันมีและเคยมีปัญหาด้านการเงิน คิดเป็นร้อยละ 16-17 ส่วนหนึ่งผู้ประกอบการมักจะขาดความรู้ความเข้าใจด้านการเงิน พอธุรกิจมีปัญหาก็ไม่ชำระเงินค่างวด ค้างเกิน 4 เดือนก็กลายเป็นหนี้เสีย (NPL) เกิน 6 เดือนก็จะกลายเป็นคดีความขึ้นสู่ศาลซึ่งกระบวนการนี้จะใช้เวลา 1-3 ปี ตามสิทธิของตนเองแล้วผู้ประกอบการนอกจากขอปรับจำนวนงวดในการชำระเงินได้แล้ว ยังสามารถเข้าไปตกลงกับสถาบันทางการเงินเพื่อขอเลื่อน หรือขยายเวลาที่เหมาะสมกับผลประกอบการ ซึ่งเรากำลังสร้างกลไกเหล่านี้ขึ้นมาเพื่อลดจำนวนผู้ประกอบการที่มีปัญหาทางการเงินให้เหลือร้อยละ 7- 8
