ดีโด้ ทุ่มงบ 200 ล้าน เปิดตัว “มาริโอ้” เจาะคนรุ่นใหม่ และ บุกตลาดอาเซี่ยน CLMV

ดีโด้ ทุ่มงบ 200 ล้าน เปิดตัว “มาริโอ้” เจาะคนรุ่นใหม่ และ บุกตลาดอาเซี่ยน CLMV


บริษัท ฟู้ดสตาร์  จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์น้ำผ ลไม้พร้อมดื่ม ภายใต้แบรนด์ “ดีโด้” ตอกย้ำตำแหน่งผู้นำตลาดน้ำผลไม้ พร้อมดื่ม ล่าสุดใส่เกียร์เดินหน้าลุยตลาด เต็มพิกัดด้วยการเปิดตัวแบรนด์ แอมบาสเดอร์คนใหม่นักแสดงขวั ญใจชาวไทยที่ดังไกลไปทั่วเอเชีย “โอ้ มาริโอ้ เมาเร่อ” ขึ้นแท่นพรีเซนเตอร์เบอร์หนึ่ง สะท้อนบุคลิกของแบรนด์น้ำผลไม้พ ร้อมดื่มอันดับหนึ่ง เจาะตลาดกลุ่มวัยรุ่นและคนทำงาน พร้อมปูพรมตลาดอาเซียน บุกเมียนมาร์ ลาว กัมพูชาและเวียดนาม มั่นใจรายได้โต 20% แตะ 4 พันล้านบาทในสิ้นปีนี้

คุณจันทรา  พงศ์ศรี กรรมการผู้จัดการ บริษัท ฟู้ดสตาร์ จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์น้ำผ ลไม้พร้อมดื่ม ภายใต้แบรนด์  “ดีโด้”  เปิดเผยผลการดำเนินงานของฟู้ดส ตาร์ในปี 2559 (ปีที่ผ่านมา) รายได้อยู่ที่ 3,200 ล้านบาท เติบโต 7% จากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา  “เพื่อต่อยอดความสำเร็จของดีโด้ บริษัทฯ ต้องการที่จะขยายตลาดในกลุ่มเป้ าหมายสังคมเมืองให้มากขึ้น โดยการสร้างแบรนด์ให้ดูทันสมัย และจะเป็นโอกาสในการสร้างยอดขาย ให้มากขึ้นอีกด้วย  จึงได้ทำการเลือกแบรนด์แอมบาสเด อร์คนใหม่ ที่มีภาพลักษณ์ที่ดีต่อสังคมเป็ นที่รู้จักและชื่นชอบของคนทั่วไ ปทั้งในประเทศและตลาดอาเซียน  เพื่อจะเป็นตัวแทนดีโด้ในการส่ งความสดชื่นของสินค้าไปสู่ผู้บริ โภคจึงได้เลือก  “โอ้ มาริโอ้ เมาเร่อ” ที่จะช่วยสะท้อนภาพลักษณ์แบรนด์ “ดีโด้” ในฐานะผู้นำตลาดน้ำผลไม้พร้อมดื่มอันดับหนึ่งของไทยได้เป็นอย่าง ดี นอกจากนี้ บริษัทฯมีแผนที่จะออกผลิตภัณฑ์ผ ลไม้พร้อมดื่มที่มีรสชาติหลากหล าย ต่อไปในอนาคต ” คุณ จันทรา กล่าวเพิ่มเติม
 

 
สำหรับการทำตลาดในช่วงครึ่งหลัง ของปีนี้ บริษัทฯ ใช้งบกว่า 200 ล้านบาท เปิดตัวภาพยนตร์โฆษณาชุดใหม่ มี “มาริโอ้ เมาเร่อ” เป็นพรีเซ็นเตอร์ภายใต้คอนเซ็ปต์“ส่งต่อความสดชื่น...สะใจ ได้ทุกที่ ทุกเวลา” โดยจะเริ่มออนแอร์ตั้งแต่วันที่ 28 เมษายน 2560 เป็นต้นไป พร้อมกันกับประเทศเมียนมา และลาวซึ่งจะมีการแปลเป็นภาษาท้ องถิ่น จากนั้นจะออกอากาศในประเทศกัมพู ชาและเวียดนามเพื่อตอกย้ำการเป็ นผู้นำในตลาดอาเซียนโดยตลอดทั้ง ปีจะมีการเปิดตัวสินค้าใหม่ต่อเ นื่อง ทั้งไลน์สินค้าใหม่และรสชาติใหม่



ปัจจุบันตลาดน้ำผลไม้พร้อมดื่มมี มูลค่า 14,000 ล้านบาท แบ่งเป็น 4 กลุ่ม คือ น้ำผลไม้ 100% มีมูลค่า 5 พันล้านบาท น้ำผลไม้ 40 - 90% มีมูลค่า 1,900 ล้านบาท น้ำผลไม้ 20 - 39% มูลค่า 3.3 พันล้านบาท และอื่นๆ อีก 1,300 ล้านบาท ขณะที่ดีโด้อยู่ในกลุ่มตลาดน้ำผ ลไม้ 20 - 39% หรือกลุ่มอีโคโนมี และกลุ่มซุปเปอร์อีโคโนมี โดยมีส่วนแบ่งกว่า 40% ขณะที่ภาพรวมตลาดน้ำผลไม้ในปีนี้มองว่าจะมีทิศทางดีขึ้น

 

จากกิจกรรมส่งเสริมการขาย และสร้างตลาดใหม่ในกลุ่มน้ำผลไม้ จากต่างประเทศ รวมถึงการบริโภคน้ำผลไม้ของคนไท ยที่เพิ่มขึ้น

ทั้งนี้ยังได้ทุ่มเงินกว่า 700 ล้านบาทดำเนินกลยุทธ์การตลาดเชิ งรุก ลงทุนซื้อเครื่องจักรใหม่ที่ทัน สมัยมาเพิ่มกำลังการผลิต รวมถึงสร้างศูนย์วิจัยและพัฒนาผ ลิตภัณฑ์ขึ้นใหม่เพื่อสร้างความ แข็งแกร่งให้กับบริษัทในแง่ ของการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ โดยมุ่งเจาะตลาดกลุ่มวัยรุ่นและ คนทำงาน ทั้งตลาดในประเทศไทยและตลาดต่าง ประเทศ โดยเฉพาะกลุ่ม CLMV (กัมพูชา ลาว เมียนมา เวียดนาม)
 
ปัจจุบันตลาดน้ำผลไม้พร้อมดื่มมี มูลค่า 14,000 ล้านบาท แบ่งเป็น 4 กลุ่ม คือ น้ำผลไม้ระดับพรีเมี่ยม มีมูลค่า 5 พันล้านบาท น้ำผลไม้ระดับกลาง  มีมูลค่า 1,900 ล้านบาทน้ำผลไม้อีโคโนมี่และซุป เปอร์อีโคโนมี่ มูลค่า 3.3 พันล้านบาท และอื่นๆ อีก 1,300 ล้านบาท ขณะที่ดีโด้อยู่ในกลุ่มตลาดน้ำผ ลไม้ กลุ่มซุปเปอร์อีโคโนมี โดยมีส่วนแบ่งกว่า 40% ขณะที่ภาพรวมตลาดน้ำผลไม้ในปีนี้ แม้สภาพเศรษฐกิจอยู่ในช่วงชะลอตั ว แต่เชื่อว่าจะมีทิศทางดีขึ้นจาก กิจกรรมส่งเสริมการขายต่างๆรวมถึ งการสร้างตลาดในต่างประเทศ ในภูมิภาคอาเซี่ยน
 
โดยเฉพาะกลุ่ม CLMV (กัมพูชา ลาว เมียนมา เวียดนาม) มีการเติบโตของธุรกิจเครื่องดื่ มอย่างน่าจับตา ดังนั้นทิศทางของการเข้าไปบุกตล าดดังกล่าวจะมีความเข้มข้นมากขึ้ น เริ่มต้นจากค้าขายผ่านชายแดน ไปสู่การหาตัวแทนจำหน่ายในตลาดที่ มีศักยภาพและมียอดขายเติบโตอย่ างมีนัยสำคัญ อย่างเมียนมาร์ ซึ่งบริษัทมีแผนสร้างแบรนด์ ทำแคมเปญการตลาดอย่างต่อเนื่อง ผลักดันยอดขายอย่างเต็มที่ นี่คือแนวทางการตลาดอีกแนวทางหนึ่ งที่จะช่วยกระตุ้นยอดขายต่ างประเทศให้มากขึ้น
 
“หลังจากปูพรมสินค้าและทำการตลา ดอย่างครอบคลุมแล้ว ทิศทางจากนั้นจะเข้าไปตั้งออฟฟิ ศประจำในแต่ละประเทศ โดยคาดว่าตลาดสำคัญๆ ในต่างประเทศจะต้องมีสำนักงานเข้ าไปตั้งได้ครบ ภายในระยะเวลา 3 ปีจากนี้ ส่วนการลงทุนอื่นๆ สนใจเข้าไปตั้งโรงงานผลิตในอนาค ต ซึ่งจากการเปิดเกมรุกทำตลาดสร้า งแบรนด์ ในปี 2559 ที่ผ่านมาบริษัทมีรายได้จากต่าง ประเทศเติบโต 40% ทำให้สัดส่วนการขายต่างประเทศจา ก 20% ขยับขึ้นมาเป็น 30%  ของภาพรวมบริษัทฯ  นอกจากนี้ยังมองหาโอกาสจากการเ ข้าไปเปิดตลาดใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง อาทิ อินเดีย จีน เพื่อสร้างรายได้ทะลุ 5,000 ล้านบาท จากปัจจุบัน 3,200 ล้านบาท ” คุณจันทรา กล่าวทิ้งท้าย

NEWS & TRENDS