ยูโอบีและเดอะ ฟินแล็บหนุน 15 SME ไทย มุ่งสู่ความเป็นดิจิทัลผ่านโครงการ Smart Business Transformation

ยูโอบีและเดอะ ฟินแล็บหนุน 15 เอสเอ็มอีไทย ทะยานสู่ความเป็นดิจิทัลผ่านโครงการ Smart Business Transformation ครั้งแรกในประเทศไทย




     ธนาคารยูโอบี (ไทย) แสดงผลงานการขับเคลื่อนธุรกิจสู่ดิจิทัลของ SME ไทย 15 บริษัท จาก โครงการ Smart Business Transformation ครั้งแรกในประเทศไทย ซึ่งเริ่มขึ้นเมื่อเดือนพฤษภาคม 2562 ที่ผ่านมา โดยธนาคารยูโอบี (ประเทศไทย) และเดอะ ฟินแล็บ ภายใต้การสนับสนุนจากองค์กรพันธมิตร ได้แก่ สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (depa) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) และสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.)
 

     ภายใต้การชี้แนะจากผู้เชี่ยวชาญด้านธุรกิจ และเทคโนโลยีทั้งในประเทศและต่างประเทศ SME ผู้เข้าร่วมโครงการ ได้ทบทวนรูปแบบธุรกิจของตนเอง วิเคราะห์หาโอกาสเพื่อพัฒนาและกำหนดแผนยุทธศาสตร์ในการเปลี่ยนผ่านสู่ความเป็นดิจิทัลในระยะยาว รวมถึงประเมินและประยุกต์ใช้โซลูชั่นนำร่องที่ เดอะ ฟินแล็บ คัดสรรมาจากกว่า 350 แอปพลิเคชัน
 

     SME ได้เลือกใช้โซลูชันเพื่อจัดการความท้าทายต่างๆ ที่ประสบปัญหาอยู่ เช่น วิธีการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกเพื่อรู้ใจลูกค้ามากขึ้น การทำตลาดโดยใช้ดิจิทัลช่วยในการเข้าถึงลูกค้า เพิ่มยอดขาย และสร้างวิธีการปรับปรุงประสิทธิภาพผ่านการปรับกระบวนการธุรกิจ ซึ่งสอดคล้องกับผลการสำรวจที่ทางเดอะ ฟินแล็บได้จัดทำไปก่อนหน้านี้และพบว่า SME ในประเทศไทยระบุว่ากลยุทธ์เพื่อสร้างการเติบโต 2 อันดับแรก คือ การรุกตลาดใหม่ (ร้อยละ54) และการใช้การตลาดระบบดิจิทัลเพื่อเพิ่มยอดขาย (ร้อยละ51)
 

     ตัน ชุน ฮิน กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารยูโอบี (ประเทศไทย) กล่าวว่า “โครงการ Smart Business Transformation เป็นโครงการที่เรามีความตั้งใจและมุ่งมั่นที่จะช่วยติดอาวุธและทักษะ SME ไทย ให้สามารถเติบโตได้ในยุคเศรษฐกิจดิจิทัล และยังตระหนักถึงบทบาทหลักของธนาคารยูโอบี ที่จะต้องดำเนินการให้สอดรับกับนโยบายไทยแลนด์ 4.0 ซึ่งมีเป้าหมายที่จะช่วยให้ SME ไทยนำนวัตกรรมดิจิทัลมาประยุกต์ใช้พัฒนาธุรกิจและสร้างเครือข่ายในการขยายธุรกิจทั้งในและต่างประเทศ”
 

     เฟลิกซ์ ตัน หัวหน้ากลุ่มงานร่วม เดอะ ฟินแล็บ กล่าวว่า “ผู้ประกอบการ SME 15 บริษัทที่เข้าร่วมโครงการ Smart Business Transformation มีความความมุ่งมั่น ที่จะขับเคลื่อนและเปลี่ยนแปลงธุรกิจ ทั้งยังเปิดกว้างต่อแนวคิด และโซลูชันใหม่ๆ ซึ่งจากความรู้และแนวทางปฏิบัติที่ได้รับไม่เพียงแต่จะสามารถต่อยอดการปรับเปลี่ยนธุรกิจเท่านั้น แต่ยังสามารถสร้างจุดยืนที่แข็งแกร่งพร้อมรับมือต่อความท้าทายในอนาคต นับว่าเป็นสัญญาณที่ดีต่อเศรษฐกิจและทิศทางธุรกิจ SME ของประเทศไทย ทั้งยังเป็นการสนับสนุนนโยบายไทยแลนด์ 4.0 ที่ต้องการส่งเสริมให้ผู้ประกอบการ SME สามารถเพิ่มผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศได้ถึงร้อยละ 50 ภายในปี 2568 จากร้อยละ 36 ในปี2561”
 

     ผลลัพธ์เชิงบวกของ SME จากการเข้าร่วมโครงการนำร่องนวัตกรรมดิจิทัล


     หนึ่งใน SME ที่ได้เข้าร่วมโครงการ ได้แก่ บริษัท เอ็ม.ซี.ซี. อินดัสเทรียล นิว 1999 จำกัด  (เอ็ม.ซี.ซี 4x4 แอคเซสซอรี่) ที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับยานยนต์และผลิตอะไหล่สำหรับรถออฟโรดส์ขับเคลื่อน 4 ล้อ โดย เอ็ม.ซี.ซี. 4x4 แอคเซสซอรี่ ได้นำโชลูชัน Workforce ที่พัฒนาโดยบริษัทไทย มาใช้ด้านการบริหารทรัพยากรบุคคล นอกจากนี้ยังได้รับทักษะการจัดการการเปลี่ยนแปลง (Change Management) และสามารถนำโซลูชันทางดิจิทัลไปใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
               

     ชนกพร ศิระนานนท์ ผู้จัดการฝ่ายพัฒนาธุรกิจของ บริษัท เอ็ม.ซี.ซี. อินดัสเทรียล นิว 1999 จำกัด กล่าวว่า “โครงการ Smart Business Transformation ช่วยให้เราสามารถขับเคลื่อนความต่อเนื่องและการเปลี่ยนแปลงได้ดียิ่งขึ้น ซึ่งสำคัญมากสำหรับเราในฐานะธุรกิจครอบครัวที่ต้องการขยายธุรกิจในยุคเศรษฐกิจดิจิทัล ตอนนี้เรามีความมั่นใจมากขึ้นที่จะผลักดันการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัล และได้เริ่มนำโซลูชันมาใช้ในการทำงานกับบริษัทคู่ค้าต่างๆ ช่วยเพิ่มความคล่องตัวในการดำเนินงานได้อย่างรวดเร็ว และมีประสิทธิภาพมากขึ้น”
               

     บริษัท วอริกซ์ สปอร์ต จำกัด ผู้ให้การสนับสนุนหลักชุดแข่งนักฟุตบอลทีมชาติไทย เป็นอีกหนึ่ง SME ที่ประสบความสำเร็จในการเข้าร่วมโครงการ โดยวอริกซ์ได้ทำงานกับ Boostorder ผู้ให้บริการโซลูชันอีคอมเมิร์ซจากประเทศมาเลเชีย เป็นผู้พัฒนาระบบงานขายผ่านช่องทางออนไลน์
               

     วิศัลย์ วนะศักดิ์ศรีสกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วอริกซ์ สปอร์ต จำกัด กล่าวว่า “โครงการ Smart Business Transformation ช่วยให้บริษัทฯ พัฒนาโครงสร้างการบริหารและปรับขนาดธุรกิจ เราได้เรียนรู้ความสำคัญของการสร้างพื้นฐานที่แข็งแกร่งซึ่งถือเป็นหัวใจสำคัญต่อการดำเนินธุรกิจให้โตอย่างมั่งคงและยั่งยืน นอกจากนี้เรายังได้ทำงานอย่างใกล้ชิดกับ Boostorder ผู้พัฒนาโซลูชั่น ในการปรับกระบวนการหลักและช่องทางการจัดจำหน่ายให้เป็นดิจิทัล เพื่อบรรลุเป้าหมายการเติบโตของยอดขายออนไลน์ 15 เปอร์เซ็นต์ ภายในสิ้นปีนี้”
 
 
 
 
www.smethailandclub.com
ศูนย์รวมข้อมูลธุรกิจเอสเอ็มอี
 

NEWS & TRENDS