กระตุก SME ให้เร่งขยับ ก่อนรถยนต์ไฟฟ้าฉุดมูลค่าชิ้นส่วนยานยนต์ไทยตก

 


Main Idea
 
  • รถยนต์ไฟฟ้าจะมีบทบาทมากขึ้นเรื่อยๆ ในอุตสาหกรรมการผลิตรถยนต์ของไทย ซึ่งจะส่งผลกดดันต่อผู้ผลิตชิ้นส่วนเกี่ยวกับเครื่องยนต์ ผู้ประกอบการไทยต้องหันมาปรับแผนยุทธศาสตร์ในการพัฒนาธุรกิจเพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีรถยนต์ไฟฟ้ามากขึ้น
 
  • ประเทศไทยเป็นฐานการผลิตรถยนต์ที่สำคัญแห่งหนึ่งของค่ายรถญี่ปุ่น เมื่อญี่ปุ่นต้องปรับโครงสร้างห่วงโซ่อุปทานของค่ายรถโดยใช้แพลตฟอร์มร่วมเพื่อรับมือ ส่งผลต่อผู้ผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ในไทยซึ่งอยู่ในห่วงโซ่อุปทานดังกล่าวในทางอ้อมด้วยเช่นกัน



 

     ปัจจุบันกระแสการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีของอุตสาหกรรมรถยนต์โลก โดยเฉพาะการเปลี่ยนผ่านจากยุคที่รถยนต์ใช้ระบบขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์สันดาปภายในเพียงอย่างเดียว (Internal Combustion Engine: ICE) ไปสู่ยุคที่รถยนต์ใช้ระบบขับเคลื่อนผสมผสานระหว่างเครื่องยนต์ร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้าทั้งในรูปแบบไม่เสียบปลั๊ก (Hybrid Electric Vehicle: HEV) และแบบเสียบปลั๊ก (Plug-in Hybrid Electric Vehicle: PHEV) จนถึงการเข้ามาของรถยนต์ใช้ระบบขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าเพียงอย่างเดียวโดยรับพลังงานจากแบตเตอรี่ (Battery Electric Vehicle: BEV) ซึ่งการเปลี่ยนผ่านของเทคโนโลยีดังกล่าว ทำให้เกิดผลกระทบต่อธุรกิจต่างๆ ที่อยู่ในห่วงโซ่อุปทานของอุตสาหกรรมรถยนต์ในหลากหลายมิติ โดยเฉพาะการเปลี่ยนแปลงความต้องการใช้ชิ้นส่วนรถยนต์ ทำให้ต่างต้องหันมาปรับแผนยุทธศาสตร์ในการพัฒนาธุรกิจเพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีดังกล่าวมากขึ้น


     ทั้งนี้ ในระยะข้างหน้าจะได้เห็นทิศทางการปรับโครงสร้างห่วงโซ่อุปทานการผลิตอุตสาหกรรมรถยนต์มากขึ้น โดยเฉพาะของค่ายรถญี่ปุ่นที่จะนำกลยุทธ์การกระจายห่วงโซ่อุปทานในแนวนอน (Horizontal Specialization) มาใช้แทนที่กลยุทธ์การรวมห่วงโซ่อุปทานในแนวดิ่ง (Vertical Integration) หรือที่ในการทำธุรกิจแบบญี่ปุ่นจะเรียกกันว่า Keiretsu  ซึ่งเป็นแนวทางที่ค่ายรถญี่ปุ่นส่วนใหญ่ใช้กันในการบริหารจัดการธุรกิจชิ้นส่วนรถยนต์ที่อยู่ในห่วงโซ่อุปทานของตนมาอย่างยาวนานต่อเนื่องตลอดหลายปี โดยการปรับโครงสร้างห่วงโซ่อุปทานดังกล่าวของค่ายรถยนต์ ผนวกกับทิศทางตลาดรถยนต์ในประเทศของไทยเองก็เดินตามกระแสโลกสู่การพัฒนารถยนต์ไฟฟ้าในประเทศด้วย ก็ย่อมส่งผลต่อผู้ผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ในไทย โดยเฉพาะชิ้นส่วนที่เกี่ยวกับเครื่องยนต์ อย่างไม่อาจเลี่ยง เนื่องจากไทยเป็นฐานการผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ที่สำคัญของค่ายรถญี่ปุ่น และหลายบริษัทที่อยู่ในกลุ่ม Keiretsu ก็มีการดำเนินธุรกิจในไทยร่วมกับผู้ผลิตชิ้นส่วนใน Tier ต่างๆ ด้วย
 


 
  • การเติบโตของตลาดรถยนต์ไฟฟ้าโลกส่งผลต่อการปรับโครงสร้างห่วงโซ่อุปทานค่ายรถญี่ปุ่น
     ตัวเลขปี 2561 ยอดขายรถยนต์ BEV ทั่วโลกขยับขึ้นมาสู่ระดับ 1,261,000 คัน  หรือคิดเป็น 1.3 เปอร์เซ็นต์ของยอดขายรถยนต์รวมทั้งหมด โดยขยายตัวขึ้นอย่างรวดเร็วถึง 66 เปอร์เซ็นต์จากปีก่อนหน้าที่มียอดขายประมาณ 757,000 คัน จากการเติบโตอย่างรวดเร็วของตลาดรถยนต์ BEV ในจีน ซึ่งการเติบโตที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องนี้ ทำให้ในอีก 10 ปีข้างหน้า มีการคาดการณ์กันว่ายอดขายรถยนต์ BEV ทั่วโลกจะขยับขึ้นมามีสัดส่วนถึงกว่า 10 เปอร์เซ็นต์ ของยอดขายต่อปีของรถยนต์ทั้งหมดทั่วโลก บ่งชี้ให้เห็นถึงทิศทางการพัฒนาอุตสาหกรรมรถยนต์ที่ชัดเจนขึ้นว่ามีแนวโน้มเปลี่ยนจากการใช้เครื่องยนต์เป็นหลักในการขับเคลื่อนมาสู่การใช้แบตเตอรี่และมอเตอร์ไฟฟ้าเป็นหลักในการขับเคลื่อน ซึ่งคาดว่ากระแสดังกล่าวจะเปลี่ยนทิศทางตลาดรถยนต์โลกอย่างต่อเนื่องในอีก 10 ถึง 20 ปี ข้างหน้า ส่งผลต่อการลงทุนผลิตและพัฒนาชิ้นส่วนรถยนต์หลายตัวที่มีแนวโน้มจะต้องลดบทบาทความสำคัญลงไปเรื่อยๆ


     จากสัดส่วนรถยนต์ BEV ที่มีแต่จะขยายตัวขึ้นเป็นปัจจัยเร่งให้การลงทุนพัฒนาชิ้นส่วนรถยนต์จำเป็นต้องเปลี่ยนรูปแบบไปจากเดิมเพื่อการบริหารจัดการต้นทุนที่มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ค่ายรถยนต์ต่างๆ โดยเฉพาะค่ายรถญี่ปุ่น หากจะยังใช้กลยุทธ์การดำเนินธุรกิจที่ทำมาอย่างยาวนานด้วยการรวมห่วงโซ่อุปทานในแนวดิ่ง แบบ Keiretsu ต่อไป ก็อาจจะไม่สามารถคงความสามารถในการแข่งขันได้ในสภาพแวดล้อมทางธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วนี้ เนื่องจาก Keiretsu มีจุดอ่อนที่สำคัญ คือ ความล่าช้าของการพัฒนาเทคโนโลยีและต้นทุนที่สูง ต่างกับค่ายรถยุโรปที่ใช้กลยุทธ์การกระจายห่วงโซ่อุปทาน ทำให้การพัฒนารถยนต์ BEV รุดหน้าไปได้เร็วกว่าในปัจจุบัน


     จากการตระหนักถึงจุดอ่อนดังกล่าว ประกอบกับการพัฒนาเทคโนโลยีรถยนต์ไฟฟ้าที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วมาก เป็นเหตุให้ค่ายรถญี่ปุ่นต้องปรับยุทธศาสตร์การดำเนินธุรกิจอย่างเร่งด่วน นำมาสู่การใช้กลยุทธ์การกระจายห่วงโซ่อุปทานในแนวนอนในกลุ่มพันธมิตรค่ายรถญี่ปุ่นและผู้ผลิตชิ้นส่วน Tier-1 ที่จับมือกันเพื่อพัฒนาและใช้แพลทฟอร์มร่วม ทำให้เกิดการแชร์กันได้ในส่วนของชิ้นส่วนซึ่งมีมาตรฐานร่วมกัน และลดความจำเป็นของแต่ละค่ายในการลงทุนผลิตชิ้นส่วนที่เริ่มเข้าสู่ช่วงขาลง เช่น ชิ้นส่วนที่เกี่ยวกับเครื่องยนต์ เป็นต้น ซึ่งช่วยให้เกิดการประหยัดเชิงขนาดมากขึ้นในการผลิต รวมถึงลดต้นทุนการวิจัยและพัฒนา ขณะเดียวกันก็ได้ประโยชน์จากการอาศัยความชำนาญของแต่ละบริษัทมาช่วยพัฒนาตลาดใหม่ๆ ของแต่ละค่ายรถ เช่น รถยนต์ ICE หรือรถยนต์ไฟฟ้ารูปแบบใหม่ๆ ที่ค่ายรถอาจไม่เคยมีความถนัดมาก่อน


 
  • ชิ้นส่วนไทยได้รับผลกระทบจากการเติบโตของรถยนต์ไฟฟ้าไทยและการปรับใช้แพลทฟอร์มร่วม

     จากการที่ประเทศไทยเป็นฐานการผลิตรถยนต์ที่สำคัญแห่งหนึ่งของค่ายรถญี่ปุ่น ซึ่งทิศทางดังกล่าวย่อมส่งผลกระทบต่อผู้ผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ไทยที่อยู่ในห่วงโซ่อุปทานในส่วนที่เกี่ยวข้องกับเครื่องยนต์ (ทั้งระบบส่งกำลังและระบบไฟฟ้า) อย่างไม่อาจเลี่ยง ไม่เพียงเท่านั้น เมื่อค่ายรถญี่ปุ่นต้องปรับโครงสร้างห่วงโซ่อุปทานของค่ายรถโดยใช้แพลทฟอร์มร่วมเพื่อรับมือ ย่อมจะส่งผลต่อผู้ผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ในไทยซึ่งอยู่ในห่วงโซ่อุปทานดังกล่าวในทางอ้อมด้วยเช่นกัน


     อย่างไรก็ตาม ผลกระทบที่จะเกิดขึ้นต่อผู้ผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ไทยในช่วง 10 ปีแรกนี้จะยังไม่มาก เนื่องจากเป็นช่วงของการเริ่มเข้าสู่ตลาดของรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศ ซึ่งต้องการระยะเวลาในการปรับตัวของค่ายรถ การพัฒนาระบบสาธารณูปโภค รวมถึงการสร้างการรับรู้ในหมู่ผู้บริโภค ทำให้รถยนต์ที่มีเครื่องยนต์เป็นส่วนประกอบอย่างรถยนต์ ICE รถยนต์ HEV และรถยนต์ PHEV ยังเป็นประเภทรถยนต์ที่ครองส่วนแบ่งตลาดเป็นส่วนใหญ่อยู่ถึงกว่า 95 เปอร์เซ็นต์
แต่เมื่อถึงปีที่ 20 นับจากนี้ ซึ่งรถยนต์ BEV จะเริ่มเข้ามามีบทบาทยิ่งขึ้นโดยมีส่วนแบ่งถึงกว่า 1 ใน 5 ของยอดขายรถยนต์รวมในประเทศของไทย และในขณะเดียวกันการเติบโตของตลาดรถยนต์ BEV โลกที่เพิ่มขึ้นมากแล้วนั้นในช่วงเวลาดังกล่าว ก็ทำให้การผลิตรถยนต์ BEV เพื่อการส่งออกของไทยจำต้องเร่งตัวมากขึ้นด้วย ซึ่งผลกระทบต่อผู้ผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ไทยในช่วงปีที่ 10 ถึง 20 นี้จะค่อยๆ เห็นชัดเจนขึ้นตามลำดับ


     ทั้งนี้ หากมองถึงผลกระทบต่อผู้ผลิตชิ้นส่วนที่ได้รับผลกระทบโดยตรงมากที่สุด คือ ชิ้นส่วนเกี่ยวเนื่องกับเครื่องยนต์ ทั้งกลุ่มระบบส่งกำลังและระบบไฟฟ้าแล้ว ศูนย์วิจัยกสิกรไทยเห็นว่า ผลกระทบที่เกิดขึ้นและการปรับตัวต่างๆจะมีลักษณะที่แตกต่างกันไปตามระยะเวลา ดังนี้


  • ในระยะ 10 ปีแรก (ปี 2562 ถึง 2571)

     รถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์ขับเคลื่อนยังครองตลาดเกือบทั้งหมด โดยเฉพาะเมื่อค่ายรถต่างก็เข้ามาลงทุนในไทยเพื่อให้เป็นฐานการผลิตรถยนต์ HEV และ PHEV สำหรับรองรับตลาดในประเทศและส่งออกในระยะ 10 ปีแรกนี้ ทำให้ปริมาณคำสั่งซื้อชิ้นส่วนโดยรวมเพิ่มขึ้น เมื่อมาผนวกกับการปรับโครงสร้างสู่การใช้แพลทฟอร์มร่วมที่อาจส่งผลให้ค่ายรถเกิดการรวมคำสั่งซื้อมายังผู้ผลิตชิ้นส่วนบางรายที่มีศักยภาพมากขึ้น ก็ยิ่งทำให้ไทยซึ่งมีการผลิตชิ้นส่วนที่เกี่ยวเนื่องกับเครื่องยนต์อยู่อย่างเกือบครบสมบูรณ์ มีโอกาสที่จะได้รับคำสั่งซื้อเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ผู้ผลิตชิ้นส่วนเกี่ยวกับเครื่องยนต์ยังปรับตัวอยู่ในตลาดได้ โดยจะเน้นการเพิ่มเครื่องจักรเข้ามาช่วยในการผลิตมากขึ้นเพื่อควบคุมคุณภาพและต้นทุน ซึ่งในระยะนี้ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่าเนื่องจากตลาดรถยนต์ BEV ในไทยยังมีขนาดเล็ก ทำให้ความต้องการชิ้นส่วนเกี่ยวกับเครื่องยนต์ในไทยมีโอกาสที่จะหดหายไปจากตลาดอันเนื่องจากการเข้ามาแทนที่ของรถยนต์ BEV คิดเป็นมูลค่าเพียง 3,784 ล้านบาท หรือหายไปจากความต้องการเดิมของตลาดในกรณีไม่มีรถยนต์ BEV เพียง 2.4 เปอร์เซ็นต์ 
 
  • ในระยะ 20 ปี (ปี 2572 ถึง 2581)

     รถยนต์ BEV เริ่มเข้ามามีบทบาทมากในตลาดทั้งการผลิตเพื่อขายในประเทศและการส่งออก โดยในระยะนี้ความต้องการชิ้นส่วนที่เกี่ยวกับเครื่องยนต์ ไม่ว่าจะเป็นในส่วนระบบส่งกำลังหรือระบบไฟฟ้าจะลดน้อยลงเรื่อยๆ ทำให้ผู้ผลิตชิ้นส่วนกลุ่มนี้ต้องเผชิญกับการแข่งขันสูงขึ้น จึงอาจเกิดการควบรวมกิจการกันมากขึ้นเพื่อควบคุมต้นทุน และสนองต่อนโยบายการใช้แพลทฟอร์มร่วมที่เป็นมาตรฐานสากล ซึ่งในระยะนี้ความต้องการชิ้นส่วนเกี่ยวกับเครื่องยนต์ในไทยมีโอกาสที่จะหดหายไปจากตลาดอันเนื่องจากการเข้ามาแทนที่ของรถยนต์ BEV เพิ่มสูงขึ้นมากเป็นมูลค่าไม่น้อยกว่า 38,252 ล้านบาท หรือหายไปจากความต้องการเดิมของตลาดในกรณีไม่มีรถยนต์ BEV ถึงมากกว่า 22 เปอร์เซ็นต์ อย่างไรก็ตามหากผู้ผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ของไทยสามารถพัฒนาเทคโนโลยีขึ้นจนเข้าไปอยู่ในสายการผลิตชิ้นส่วนมูลค่าสูงของรถยนต์ BEV โดยเฉพาะมอเตอร์และแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้าได้ ก็อาจให้ผลที่ต่างออกไปกับอุตสาหกรรมชิ้นส่วนรถยนต์โดยรวม แม้ว่ามูลค่าชิ้นส่วนเครื่องยนต์จะหายไปเป็นมูลค่าที่สูงก็ตาม 


     เทคโนโลยีรถยนต์ไฟฟ้าที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในตลาดรถยนต์โลก แต่การที่ไทยเป็นประเทศแรกในภูมิภาคที่ค่ายรถญี่ปุ่นเข้ามาลงทุนผลิตรถยนต์ไฟฟ้าอย่างจริงจังในปริมาณที่สูงนั้น ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่า ยังน่าจะเป็นโอกาสที่ดีต่อไทยในการดึงดูดการลงทุนชิ้นส่วนรถยนต์ไฟฟ้าประเภทอื่นๆเข้ามาเพิ่มเติมได้ในอนาคต ภายใต้การเปลี่ยนแปลงห่วงโซ่อุปทานชิ้นส่วนรถยนต์ระดับโลกที่ยืดหยุ่นขึ้นด้วย


     ในส่วนของผู้ผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ในห่วงโซ่อุปทานค่ายรถยุโรปนั้นจะต่างออกไป ระยะเวลาในการปรับตัวจะมีเพียงแค่ช่วง 3 ถึง 5 ปีนี้ เนื่องจากค่ายรถยุโรปมีแนวทางในการเร่งพัฒนารถยนต์ PHEV และ BEV ให้เติบโตอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้ผู้ผลิตชิ้นส่วนในห่วงโซ่อุปทานของค่ายรถยุโรป โดยเฉพาะชิ้นส่วนเกี่ยวกับเครื่องยนต์อาจจำเป็นต้องเร่งปรับตัวตั้งแต่ตอนนี้
 



ที่มา : ศูนย์วิจัยกสิกรไทย
 


www.smethailandclub.com
ศูนย์รวมข้อมูลธุรกิจเอสเอ็มอี
 
 

RECCOMMEND: TECH

เจ๋งป่ะล่ะ! AI ผู้ช่วยเชฟคนใหม่ เก็บข้อมูลทำเมนูสุดโปรดเสิร์ฟลูกค้า ช่วยสแกนเศษอาหาร ลดต้นทุน ลดขยะ

ปัจจุบันโลกเรามีการนำ AI หรือ ปัญญาประดิษฐ์ มาใช้พัฒนา ปรับปรุงสิ่งต่างๆ ขึ้นมากมาย ตั้งแต่เรื่องใหญ่ๆ ไปจนถึงเรื่องเล็กๆ ล่าสุดใครจะคิดว่า แม้แต่ถังขยะในครัวของโรงแรมและร้านอาหาร ก็มีการนำ AI เข้ามาใชั

Mewre น้ำดื่มเพื่อสุนัขและแมวเจ้าแรกของโลก จากไอเดียที่ไม่อยากให้น้องป่วย เมื่อผู้บริโภคไม่ได้มีแค่คนเท่านั้น

Mewre น้ำดื่มเพื่อสุนัขและแมวเจ้าแรกของโลก อีกหนึ่งสินค้านวัตกรรมที่ทำมาเพื่อตอบโจทย์ชาว Pet Parent หรือ การเลี้ยงสัตว์เหมือนลูก เป็นสมาชิกคนหนึ่งในครอบครัว

โกเล ไอเดียสแน็กเพื่อสุขภาพจากก้างปลา เปลี่ยน Waste ให้เป็นเงินล้าน ของทายาทโรงงานลูกชิ้นปลา

“โกเล” (Gole Crispy) ปลาทูแท่งอบกรอบแคลเซียมสูง นวัตกรรมจากก้างปลาทะเล เปลี่ยน Waste ให้เป็นเงินล้าน ของทายาทโรงงานลูกชิ้นปลา เพื่อช่วยวิกฤตธุรกิจครอบครัว