Free Fashion ร้านเสื้อผ้ามือสองสุดชิค ที่ไม่ได้ขาย แต่ให้ฟรี! ช่วยลดปัญหาขยะแฟชั่นล้นโลก

Text : Surangrak Su.


     ว่ากันว่าธุรกิจแฟชั่นเสื้อผ้า คือหนึ่งในอุตสาหกรรมที่ผลิตขยะเป็นอันดับต้นๆ ของโลก โดยเฉพาะ Fast Fashion ที่ก่อให้เกิด ขยะสิ่งทอมากถึง 92 ล้านตันต่อปี, ปล่อยก๊าซคาร์บอนทั่วโลกถึงร้อยละ 10 และน้ำเสีย 20% ทำยังไงถึงจะแก้ปัญหาได้อย่างยั่งยืน? การนำกลับมาใช้ซ้ำให้เกิดประโยชน์สูงสุด ดูจะเป็นหนึ่งในหนทางออกที่ยั่งยืน เพราะเมื่อลดการผลิต ก็เท่ากับลดการสร้างขยะไปในตัว

     FREE FASHION ร้านเสื้อผ้าแฟชั่นมือสองจากเนเธอร์แลนด์ ที่ออกแบบมาทุกอย่างเหมือนร้านแบรนด์เสื้อผ้าทั่วไป ตั้งแต่การจัดแต่งร้านที่ดูหรูหรา มีพนักงานให้คำแนะนำ มีคอลเลคชันให้เลือกมายมาย แต่สิ่งที่ต่างไป คือเสื้อผ้าเหล่านั้น “ไม่ได้มีไว้ขาย แต่ให้ฟรี!” แถมป้าย Label ที่ใช้ติด ก็ไม่ได้แจ้งราคา แต่กลับบอกถึงปริมาณการใช้น้ำ, การปล่อยคาร์บอนที่ใช้ผลิตเสื้อผ้าแต่ละตัว

เริ่มจากไอเดียรถเข็นเล็กๆ หน้าบ้าน

     Lot van Os และ Dieuwertje Vorstenbosch ผู้ก่อตั้ง เล่าที่มาของไอเดียธุรกิจให้ฟังว่า ปัจจุบันเสื้อผ้าแฟชั่นถูกผลิตออกมาจำนวนมาก ซึ่งหากลองนับดูเสื้อผ้าทั้งหมดในโลกที่ถูกผลิตออกมา เราสามารถมีเสื้อผ้าใช้ไปเพียงพอสำหรับคนหกรุ่นต่อไปเลยทีเดียว โดย 1 ใน 3 ของตู้เสื้อผ้าชาวเนเธอร์แลนด์แทบจะเป็นเสื้อผ้าที่ไม่ได้ถูกนำมาใช้เลยนานกว่าหนึ่งปีแล้ว จากการซื้อแล้วไม่ชอบบ้าง ใส่ไม่พอดีตัวบ้าง จุดจบของเสื้อผ้าเหล่านั้น ก็คือ ถูกนำไปทิ้งที่บ่อฝังกลบ กลายเป็นขยะ ทั้งที่จริงยังสามารถใช้งานได้ดีอยู่ ซึ่งเสื้อผ้าชิ้นหนึ่งจะถูกใช้งานเฉลี่ยเพียงแค่ 7 ครั้งเท่านั้น

     ด้วยเหตุนี้จึงเป็นเหตุผลให้พวกเขาตัดสินใจก่อตั้งแบรนด์ขึ้นมา เพื่อเป็นสื่อกลางในการนำเสื้อผ้าที่ไม่ใช้แล้วเหล่านั้น ให้หมุนเวียนนำกลับมาใช้ซ้ำให้เกิดประโยชน์อีกครั้งได้ ผ่านรูปแบบร้านป๊อบอัพสโตร์ที่ดูดี ทันสมัย ไม่ต่างจากร้านแฟชั่นดังๆ เลย เพื่อให้ผู้คนเข้ามาเลือกช้อปกลับไปใช้ แต่ต่างกันตรงที่พวกเขาไม่ได้ขาย แต่กลับให้ฟรี! ไปเลย

     Dieuwertje เล่าที่มาไอเดียให้ฟังว่า มันเกิดขึ้นมาจากจุดเล็กๆ ที่พวกเธอได้ทดลองทำรถเข็นและราวแขวนเสื้อผ้าเล็กๆ ตั้งไว้ที่หน้าบ้าน ติดป้ายว่า “FREE FASHION” เพื่อให้ผู้คนสามารถนำเสื้อผ้ามาแบ่งปันแลกเปลี่ยนกันได้ ปรากฏว่าได้รับผลตอบรับดีเกินคาด จนทุกอย่างเริ่มบานปลาย จึงเป็นที่มาของการก่อตั้งโมเดลธุรกิจขึ้นมา

เงินไม่ต้อง จ่ายด้วยความเข้าใจก็พอ

     Lot van Os เล่ากระบวนการทำงานของธุรกิจให้ฟังว่า สินค้าทุกชิ้นในร้านจะมาจากการบริจาคแทบทั้งนั้น จากผู้ที่ไม่ต้องการใช้งานแล้ว เมื่อได้รับบริจาคมาแล้ว ทางแบรนด์จะนำมาคัดแยก ทำความสะอาด รวมถึงซ่อมแซมให้อยู่ในสภาพที่ใช้งานได้ ซึ่งหลายชิ้นอยู่ในสภาพการใช้งานที่ดีแทบจะเหมือนใหม่ ซื้อแล้วไม่ได้ใช้ เก็บอยู่ในตู้เฉยๆ โดยนอกจากพนักงาน ก็จะมีอาสาสมัครเข้ามาช่วยด้วย จากนั้นจึงจะนำมาแขวนไว้ภายในร้าน ซึ่งตกแต่งอย่างสวยงาม เพื่อสร้างประสบการณ์ให้กับลูกค้าได้เข้ามาเลือกดูเลือกช้อป ไม่ต่างการเลือกซื้อเสื้อผ้าจากแบรนด์ชั้นนำ

     แต่แทนที่จะได้พบกับป้ายราคาที่ระบุเป็นตัวเลขจำนวนเงิน พวกเขากลับพบตัวเลขระบุต้นทุนการผลิตที่แท้จริง เช่น เสื้อยืดนี้ ใช้น้ำในการผลิตมากถึง 2,700 ลิตร หรือ กางเกงยีนส์หนึ่งตัว ต้องใช้น้ำ 7,000 ลิตร แต่ละชิ้นทำลายป่าไม้และปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออกไปเท่าไหร่ Lot van Os ระบุว่านี่ต่างหาก คือ ราคาจ่ายที่แท้จริงที่เขาอยากนำเสนอ เพื่อให้ผู้คนได้เข้าใจ และเกิดความตระหนักรู้ถึงทรัพยากรธรรมชาติแท้จริงที่ต้องถูกทำลายไปในการผลิตเสื้อผ้าขึ้นมาแต่ละชิ้น

     ในฐานะผู้เยี่ยมชม คุณจะได้รับบัตรเข้าชม 3 ใบที่ทางเข้า เพื่อนำมาเลือกสินค้ากลับไปได้ 3 สามชิ้นต่อวัน เช่นเดียวกันกับผู้ที่ต้องการนำมาบริจาคจากเสื้อผ้าที่ไม่ต้องการใช้แล้ว ก็สามารถนำมาฝากทางร้านให้ช่วยจัดการดูแลได้ โดยปกติจะเปิดเป็นลักษณะป๊อบอัพสโตร์ตระเวนไปตามสถานที่ต่างๆ เพื่อให้ผู้คนสามารถเข้าถึงเสื้อผ้าคุณภาพดีที่ไม่ใช้แล้ว ให้นำมาใช้ประโยชน์ต่อได้

     “ไม่ใช่แค่แจกฟรี แต่อยากสร้างความตระหนักรู้ถึงคุณค่าของเสื้อผ้าที่แต่ละชิ้นว่ากว่าจะได้มาเราต้องสูญเสียทรัพยากรไปเท่าไหร่ นับเป็นร้านแรกเลยที่คุณไม่ต้องจ่ายเงิน แต่ก็เลือกช้อปเสื้อผ้าดีๆ กลับไปใช้ได้ โดยจ่ายเป็นความใส่ใจที่มากขึ้นก็พอ สำหรับคนที่นำมาบริจาค ก็รู้สึกดีว่าเสื้อผ้าที่เขาไม่ใช้แล้ว ได้ไปต่ออยู่ในที่ดีๆ ถูกนำไปใช้อย่างคุ้มค่า ดีกว่าถูกนำไปทิ้งอยู่ที่กองขยะ”

ตั้งเป้าทำชาเลนจ์แรกให้ได้ 100,000 ชิ้น

     ผู้บริหาร FREE FASHION เล่าว่าหลังจากเปิดตัวออกไปช่วงแรก ก็มีลูกค้ากว่า 20,000 รายในเมืองทิลเบิร์กและอัมสเตลเวน และที่สถานีรถไฟกลางอูเทรคต์ ซึ่งเปิดให้บริการเมื่อฤดูใบไม้ร่วงปี 2024 เข้ามาดู บางครั้งมีเสื้อผ้ามากกว่า 1,000 ชิ้นที่ได้บ้านใหม่ภายในเวลาเพียงหนึ่งวัน หรือครึ่งวัน 700 ชิ้นได้ออกจากร้านไปแล้ว

     ในส่วนของรายได้ หลายคนอาจสงสัยว่า เมื่อนำมาแจกฟรีแล้ว FREE FASINO จะนำรายได้มาจากที่ไหน?

     Lot van Os และ Dieuwertje เล่าว่ามาจาก 3 ส่วน คือ 1) การขายสินค้าที่ระลึกของแบรนด์ เช่น ถุงเท้า, เสื้อยืด, กระเป๋าผ้า ที่ทำจากผ้ารีไซเคิล โดยใช้คำว่า “This is Free Fashion” เป็นการช่วยโปรโมตแบรนด์และรณรงค์การใช้เสื้อผ้าหมุนเวียนไปในตัว 2) บริการให้เช่ารถเข็น และป๊อบอัพสโตร์ พร้อมชุดเสื้อผ้าบริจาค เพื่อให้หน่วยงานและสำนักงานต่างๆ นำไปจัดอีเวนต์ โดยสามารถติดโลโก้ หรือชื่อบริษัท เพื่อสร้างภาพลักษณ์อันดีต่อองค์กรได้ เป็นกิจกรรมช่วยดึงดูดผู้คนให้มาร่วมงานมากขึ้น ราคาตั้งแต่ 600 - 2,000 ยูโร ระยะเวลาตั้งแต่ 1 เดือนขึ้นไป จนถึงระยะยาว และ 3) การเปิดรับบริจาค เพื่อสนับสนุนกิจการของแบรนด์

     โดยพวกเขาตั้งเป้าหมายแรกไว้ว่าจะแจกเสื้อผ้าฟรีให้ได้ 100,000 แสนชิ้น โดยในเวลาเพียงไม่กี่เดือนพวกเขาสามารถทำได้ถึง 72,523 ชิ้นแล้ว

     สุดท้าย Lot van Os หนึ่งในผู้ก่อตั้งแบรนด์ได้ทิ้งท้ายว่า

     “ผมว่าจริงๆ ไอเดียนี้สามารถนำมาใช้กับสินค้าได้ทุกประเภทเลย เพราะทุกวันนี้เราก็แทบจะมีทุกอย่างใช้กันอย่างเหลือเฟืออยู่แล้ว ทั้งอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์, สมาร์ทโฟน, อุปกรณ์กีฬา ฯลฯ เพียงแต่ไม่ถูกนำมาใช้งานอย่างเต็มที่เท่านั้น”

     นับเป็นอีกไอเดียธุรกิจแปลกที่ช่วยแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมอย่างได้ผล ขณะเดียวกันก็สามารถทำให้เป็นรูปแบบธุรกิจจริงขึ้นมาได้..ผู้ประกอบการท่านไหนอยากลองนำไปปรับใช้กับธุรกิจดูบ้าง ก็ดีไม่น้อยเลย 

     ที่มา : https://shorturl.asia/4JCTx

                https://thisisfreefashion.com/why/

                https://www.brightvibes.com/at-the-free-fashion-store-theres-always-a-line-all-clothing-is-free-and-super-sustainable/

 

www.smethailandclub.com
ศูนย์รวมข้อมูลธุรกิจเอสเอ็มอี

RECCOMMEND: ENTREPRENEUR

ถอดบทเรียนปั้นธุรกิจเล็กให้โตไว ฟาฟู่ปัง: จากน้ำเต้าหู้ถุงละ 10 บาท สู่ร้านอาหารรายได้ทะลุล้านต่อเดือน

เมื่อธุรกิจเต็นท์รถสิบล้อที่ชะงัก ต้องหยิบเอาน้ำเต้าหู้มาสู้ชีวิต คิดว่าจะทำรายได้แค่วันละพันเพื่อเลี้ยงครอบครัวก็เพียงพอแล้ว แต่ใครจะคาดคิดว่าจากน้ำเต้าหู้ถุงละ 10 บาท จะกลายเป็นจุดเปลี่ยนให้เธอกลับมาแจ้งเกิดในวงการธุรกิจอีกครั้ง

5 ปัจจัยที่ชี้ชะตาธุรกิจใหม่จะรอดหรือร่วง จากผลวิจัย 620 องค์กรญี่ปุ่น สู่บทเรียนธุรกิจไทย

เริ่มธุรกิจใหม่ไม่ง่าย ตัวเลขทั่วโลกสะท้อนความจริงว่า ธุรกิจจำนวนมากไปไม่ถึงฝั่งฝันใน 3 ปีแรก คำถามคือ…อะไรคือปัจจัยที่ทำให้บางธุรกิจ “รอด” ในขณะที่อีกจำนวนไม่น้อย “ร่วง” ไปก่อนเวลา?

ตั๊กบ้านโตน ร้านหมูกระทะต่างจังหวัด ที่คนแย่งกันจองคิวนานนับเดือน  ยอมขับรถไกลหลายชม. เพื่อไปกิน

“ตั๊กบ้านโตน” (Tak Baan Tone) ร้านหมูกระทะเมืองอุทัยธานี ที่ปิดรับจองคิวล่วงหน้า เพราะเต็มยาวไปถึงวันสิ้นปีแล้ว ถ้าอยากกินต้องวอคอินไปเท่านั้น อะไรทำให้ “ร้านหมูกระทะ” กลายเป็นร้านพิเศษขึ้นมาได้ ถึงขั้นมารอต่อคิวเพื่อจะได้กินสักครั้ง