Text: VaViz
Photo: SALETE
“ไม่ใช่ว่าไม่มีคนอยากใช้ผ้าไทย
แต่เป็นเพราะไม่มีของที่เขาใช้ได้จริงๆ ที่ดูเหมาะกับโอกาสในการใช้งาน”
นี่คือสิ่งที่ นงนุช บํารุงกุล ผู้ก่อตั้งและเจ้าของแบรนด์ “SALETE” (สะเลเต) กระเป๋าที่นำผ้าไหมทอมือจากชุมชนมาตัดเย็บเข้ากับหนังแท้ จนได้ชิ้นงานที่แสนโดดเด่นด้วยดีไซน์อันเป็นเอกลักษณ์พร้อมสืบสานงานหัตถกรรมไทยไปพร้อมๆ กัน ได้ค้นพบ
“ตอนแรกคิดว่าผ้าไทยอาจจะมีปัญหาที่ว่าเพราะดูแก่ไปหรือเปล่า คนถึงไม่ค่อยใช้ หรือผู้ที่ใช้มักจะเป็นคนมีอายุสักหน่อย แต่ที่จริงแล้วเป็นเพราะของที่มีอยู่หรือของที่เป็นผ้าไหมนั้นยังมีไม่หลากหลาย SALETE จึงทำการออกแบบสินค้าผ้าไหมที่เป็นกระเป๋าให้เหมาะกับการใช้งานในปัจจุบันและเหมาะกับไลฟ์สไตล์ของคนในยุคนี้”
แล้วทำไมต้องเป็นกระเป๋านั้น? อดีต Interior Designer ผู้มีประสบการณ์มากว่า 10 ปี เล่าให้ฟังว่า “เดี๋ยวนี้คนเขาไม่ค่อยใส่ผ้าไหมที่เป็นเสื้อผ้ากันแล้ว เพราะดูแลค่อนข้างยาก จึงมองว่า เราอยากจะทำผ้าไหมที่สามารถใช้ได้จริงในชีวิตประจำวัน และสามารถ Match กับชุดธรรมดาได้ แบบที่ว่าหยิบมาใช้โดยที่ไม่ต้องคิดเยอะ พูดง่ายๆ ว่าแม้จะใส่ชุดธรรมดาก็ใช้ได้นั่นเอง ซึ่งการที่เราใช้ดีไซน์นำและมีองค์ประกอบของงานหัตถกรรมเข้ามา ทำให้เรามีลูกค้ากลุ่มใหม่ที่มีอายุน้อยลงมากขึ้น”
เสียงตอบรับที่ดีจากเพื่อนๆ และคนรอบกายหลังจากที่เธอได้เริ่มลงเรียนตัดเครื่องหนัง และลองออกแบบพร้อมตัดเย็บผ้าไทยเป็นกระเป๋า ได้จุดเชื้อไฟให้ SALETE ออกเดินทางบนถนนธุรกิจ ซึ่งไม่ได้หยุดอยู่แค่ในเมืองไทยบ้านเราเท่านั้น แต่ยังไปไกลถึง Milan Design Week ประเทศอิตาลีในปีที่ผ่านมา
ดีไซน์สุด Unique = First Impression ที่ทำให้ใครๆ ก็หลงรัก SALETE
SALETE ชัดเจนในเรื่องของการดีไซน์ที่มีทั้งความแตกต่างและความเป็นเอกลักษณ์ โดยเป็นการผสมผสาน Identity ของ นงนุช ที่เรียนจบด้านออกแบบสถาปัตยกรรม และความชำนาญในการ Match สีของผ้าไหมกับตัวหนังหรือวัสดุให้ดูทันสมัยและใช้งานได้ง่ายขึ้น
“แรงบันดาลใจในแต่ละคอลเล็กชันของเราจะเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับวัฒนธรรมไทย อย่างกระเป๋ารุ่น Tube ที่ทำให้แบรนด์เป็นที่รู้จักตัวแรกก็มีดีไซน์ที่ได้ Inspiration มาจากตัวสไบไทย ที่เป็นหยักๆ และสามารถยืดได้ ซึ่งเราได้นำมาเป็นคอนเซปต์ไอเดียทำกระเป๋ารุ่นนี้ให้สามารถขยายปรับเป็นทรงเหลี่ยม เพื่อเพิ่มความจุได้และใช้งานได้ยืดหยุ่นมากขึ้น”
หรืออย่างรุ่น Parnpum ที่ออกแบบมาจากพานพุ่มดอกไม้ โดยปรับรูปแบบให้เรียบง่ายและผสมผสานความเป็นรูปทรงเรขาคณิต (Geometric) และความนุ่มนวลของผ้าไหมเข้าไป ในขณะที่รุ่น Morph นั้นได้ไอเดียมาจากไซดักปลาสมัยโบราณที่เป็นเครื่องสาน โดยเป็นแนวคิดที่ผสมผสานงานหัตถกรรมผ้าทอกับงาน Sustainable เข้าด้วยกัน
“ปกติเวลาเราผลิตกระเป๋าหนังแท้ จะมีพวกเศษหนังเหลืออยู่ประมาณสัก 30% เนื่องจากจะมีส่วนหนังที่ใช้ไม่ได้ตามรูปร่างหรือลักษณะของวัว เช่น ส่วนตรงขาวัว หรือส่วนเว้าโค้งต่างๆ รุ่น Morph จึงเป็นการนำหนังที่เหลือที่เป็นเศษชิ้นเล็กๆ กลับมาออกแบบให้เป็นสินค้าใหม่ โดยเกิดจากการ Modular ของเศษหนัง แล้วนำมาสานต่อกันอีกที ซึ่งกระเป๋ารุ่นนี้ได้รับการคัดเลือกไป Milan Design Week ในปีที่แล้วนั่นเอง”
“เวลาจะออกแต่ละคอลเล็กชัน เราพยายามที่จะ Zero Waste ให้มากที่สุด
เศษหนังหรือเศษผ้าที่เหลือ เราจะเก็บไว้ทั้งหมด เพื่อนำมาทำเป็นสินค้าใหม่
โดยไม่ปล่อยให้เศษเหลือเหล่านั้นต้องกลายเป็นขยะ”
ใส่ใจ Core = แก่นหลักผลิตงานชิ้นเอก
มากกว่าจะออกแบบให้กระเป๋ามีรูปร่างอย่างไร แบรนด์ต้องมองไปที่เรื่องของแก่นหรือ Core ของการดีไซน์ที่ต้องคำนึงถึงฟังก์ชันการใช้งานของลูกค้ามาก่อน
“การผลิตงานของเราต้องรู้จุดประสงค์ของสินค้าชิ้นนั้นๆ ก่อนว่าต้องการอะไร ต้องการความยืดหยุ่นของการใช้งานหรือไม่ หรือว่าต้องการทำให้ลูกค้าใช้แล้วดูมีเอกลักษณ์ ซึ่งแต่ละชิ้นงานจะแตกต่างกันไป โดยเราจะมองในด้านฟังก์ชันก่อนว่า ลูกค้าอยากใช้งานอะไร ประเภทไหน และ Pain Point คืออะไร เสร็จแล้วถึงจะมาเป็นเรื่องของดีไซน์ ที่เราค่อยมาคิดอีกทีว่า จะดีไซน์อะไรที่เป็นเรื่องราว เช่น กระเป๋ารุ่น Morph ที่เราไม่อยากให้งานผ้าทอมือหายไป จึงนำไปจับกับกระแสหลักของโลก ที่ตอนนี้ให้ความสำคัญในเรื่องของ Sustainable”
นอกจากนี้ ก่อนที่จะเอาดีไซน์อะไรมาใส่ ต้องตกผลึกวิธีการที่จะทำให้เกิดผลิตภัณฑ์ชิ้นนั้นๆ ให้ได้ เช่น จะใช้การ Upcycling เศษหนังก่อนที่จะกลายเป็นขยะ โดยเราต้องไปคิดวิธีการและมีคอนเซปต์ก่อนว่า เราจะเอาเศษหนังมาใช้อย่างไร หรือจะทำอย่างไรกับเศษหนังที่มี เป็นต้น
“สุดท้ายคือเราจะเล่าเรื่องราวอะไร ที่สามารถสะท้อนแนวคิดของงานชิ้นนั้นๆ ออกมาให้คนรับรู้ได้ ซึ่งทั้งหมดที่กล่าวมาจะเป็นลักษณะของชุดการคิดงานของเรา ที่ไม่ได้เริ่มจากการดีไซน์มาก่อน แต่เป็นโจทย์ด้านการใช้งานของลูกค้าเป็นหลัก”
“เราหวังว่าการออกแบบสินค้าของ SALETE
จะช่วยกระตุ้นให้คนรุ่นใหม่อยากจะใช้ผ้าไหมมากขึ้น
ไม่มองว่าผ้าไหมเป็นสิ่งไกลตัว
อยากให้คนมีความคุ้นเคย และรู้สึกว่าผ้าไหมไม่ได้ใช้ยากอย่างที่คิด”
รักษาทุกการถักทอ = สานต่องานผ้าไทยสุด Cool!
แตกต่างจากแบรนด์อื่นๆ ที่มักจะสั่งทอผ้าให้เป็นลายหรือสีตามแบบที่ตัวเองต้องการ เพื่อนำไปผลิตสินค้า SALETE เลือกที่จะไม่สั่งทอผ้าใหม่ แต่จะอุดหนุนและสนับสนุนชุมชนผ้าไหมทอมือจากหลากหลายแหล่ง โดยเฉพาะจากภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งถือเป็นแหล่งใหญ่ของผ้าไหมทอมือไทย
“เราจะใช้ผ้าที่เขาทอไว้แล้ว โดยไม่สั่งทอใหม่ เพราะว่าอยากจะช่วยระบายจำนวนผ้าที่ชาวบ้านผลิตออกมา ซึ่งการที่เราไปซื้ออะไรที่มันมีอยู่แล้วสามารถที่จะช่วยในวงกว้างได้มากกว่า ช่วยได้หลายชุมชนมากกว่า และทำให้รายได้กระจายตัวได้มากกว่า ซึ่งก็แล้วแต่ว่าเราจะไปเจอผ้าที่ไหน ถ้าเจอผ้าที่สวย เราก็จะอุดหนุนและเก็บกลับมาไว้ก่อน แล้วค่อยเอามาดีไซน์ว่าจะทำอะไรต่อไป”
แน่นอนว่า ลักษณะของผ้าที่มีความหนาหรือบางไม่เท่ากันนั้น ย่อมส่งผลต่อเรื่องของการควบคุมคุณภาพงาน อย่างไรก็ตาม เจ้าของแบรนด์ที่ก้าวขึ้นสู่ปีที่ 5 นั้น ยังยึดมั่นในอุดมการณ์ที่ว่า ชุมชนเขาทอมาอย่างไร เราก็ควรเอาไปใช้ในทางที่เหมาะสม
“เราจะไม่เข้าไปคอนโทรลว่า ชุมชนต้องทอผ้ามาให้หนาเท่านั้นเท่านี้ เพราะว่าอย่างไหม 1 ลัง เวลาสาวออกมา ไหมจะมีความหนา ความบางต่างกัน หรือไหมข้างในเส้นเล็ก ไหมข้างนอกเส้นใหญ่ ด้วยความที่เป็นชุมชน เขาก็ใช้ทั้งหมด ไม่มีทิ้ง จึงอาจจะเกิดเป็นข้อจำกัดขึ้นมา ดังนั้น ในฐานะของดีไซเนอร์ เราต้องรู้ว่าถ้าได้ไหมบางมานั้นเหมาะที่จะนำไปทำอะไร หรือไหมหนานั้นเหมาะที่จะใช้งานอะไร”
“เราอยากให้ชาวบ้านได้ทอผ้าในแบบที่เขาถนัดและมีความสุข
เราจึงเลือกในสิ่งที่เขาทอมาแล้ว เพื่อช่วยระบายสต็อกผ้าที่ทอเสร็จแล้วของชุมชน
พร้อมช่วยให้ Feedback ว่า สีไหนขายดี ลายไหนที่ลูกค้าชอบ เพื่อช่วยให้เขาทำผ้าได้ตรงใจตลาดมากขึ้น”
Handicraft X Creative = มิติใหม่ผุดกระเป๋ารันวงการ
ด้วยความที่ผ้าทอมือไม่เหมือนกับผ้าอุตสาหกรรม เพราะความหนา-บางของแต่ละผืน แต่ละพื้นที่ และแต่ละการสาวไหมนั้นไม่เท่ากัน บวกกับการดีไซน์ของแบรนด์นั้นก็ยากเป็นทุนเดิม ทำให้งานของ SALETE เป็นงานที่ค่อนข้างซับซ้อน ทำยาก และมีข้อจำกัดหลายๆ อย่างในการผลิต
“แต่ยิ่งทำยาก ลูกค้ากลับยิ่งชอบ ดังนั้น เราจึงอยากให้สินค้าผ้าไหมมีตัวเลือกที่แตกต่าง อยากให้ลูกค้าเวลาเห็นสินค้าเราแล้วเกิดความคิดสร้างสรรค์ เกิดความสนุก อยากจะ Mix อยากจะ Match บางทีมีน้องนักศึกษามาเห็นงานเราถึงกลับบอกว่ารู้สึกอยากใช้ผ้าไทยขึ้นมาเลย ซึ่งเราก็ดีใจที่ได้ทำให้คนรุ่นใหม่มีทัศนคติในแง่บวกสำหรับงานผ้าไหมขึ้นมา รวมถึงลูกค้าที่จะได้เห็นมุมที่ต่างออกไป และเห็นความเป็นไปได้ในการที่จะใช้ผ้าไหมในชีวิตประจำวัน”
ยิ่งไปกว่านั้น การใช้ผ้ารวมดาวมาทำกระเป๋า ซึ่งเป็นผ้ามัดหมี่ที่มีการรวมลายหลายๆ ลายเข้าด้วยกันในผืนเดียวกลับสร้างเอกลักษณ์ให้กระเป๋าแต่ละใบ ไม่ซ้ำลาย ไม่ซ้ำสี และมีเพียงใบเดียวในโลกไปโดยปริยาย
“บางชุมชนที่เขาทุนน้อย เขาจะไปซื้อเศษผ้ามัดหมี่ที่เหลือจากการมัดหัวท้ายมาทอใหม่ให้รวมกันเป็นผืน ซึ่งจะกลายเป็นผ้าไหมที่มีหลายๆ ลายรวมกัน ที่เรียกว่า รวมดาว ซึ่งนอกจากจะเป็นงานที่ Sustainable ในระดับที่ชาวบ้านทำเองได้แล้ว พอเราเอามาทำสินค้าก็ดูน่ารัก ลูกค้าก็ Feedback ดีมากเหมือนกัน เพราะกลายเป็นเอกลักษณ์ว่า สีหรือลายอย่างนี้มีแค่ใบเดียวหรือว่าน้อยชิ้นเท่านั้น ทำให้สินค้าหมดค่อนข้างเร็ว เพราะมีจำนวนจำกัด”
“หากชุมชนสามารถ Mix สีของเส้นไหมที่ได้มาให้ดูโมเดิร์นขึ้น
จะช่วยให้นำไปใช้งานได้มากขึ้น แถมสร้างความ Unique ให้กับสินค้า
นั่นเพราะงานทอมือหรือย้อมมือนั้น การันตีไม่ได้เลยว่า จะได้สีหรือลายที่เหมือนเดิมแบบเป๊ะๆ”
ท้ายที่สุดแล้ว การทำกระเป๋าสุดชิคด้วยผ้าไหมทอมือ x หนังแท้แบบนี้ ยังเดินต่อไปได้อีกไกล โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อ นงนุช มองถึงการนำงานหัตถกรรมอื่นๆ มาต่อยอดและประยุกต์เป็นไลน์สินค้าใหม่ๆ ในอนาคต ที่เน้นความทันสมัย คนรุ่นใหม่ใช้ได้โดยไม่รู้สึกเชย หรือว่าดูโบราณหรือใช้ยากเกินไป
“การทำสินค้าอะไรก็ตาม ต้องหาตัวตนของแบรนด์ให้เจอก่อน ต้องมีตัวตนที่ชัดเจนก่อน ต้องรู้ตัวก่อนว่า เราถนัดด้านไหน เราทำด้านไหนได้ดีที่สุด ซึ่งเราควรจะนำเสนอสิ่งนั้นออกมา เพราะว่าเป็นสิ่งที่เราทำได้ดีที่สุด”
“ถ้าเรามัวแต่ไปทำงานอะไรที่คล้ายคนอื่น
สิ่งที่ลูกค้านึกถึงก็คือคนอื่น
แต่ถ้าเกิดเรามีตัวตนที่ชัดเจน
สิ่งที่ลูกค้าจะนึกถึงเมื่อเห็นผลิตภัณฑ์ก็ต้องนึกถึงเราเป็นคนแรก”
www.smethailandclub.com
ศูนย์รวมข้อมูลธุรกิจเอสเอ็มอี