Text : Surangrak Su.
Photo : Sunun Lorsomsab
ในวันที่หลายคนเริ่มธุรกิจด้วยความฝัน ความชอบ หรืออยากมีอิสระในชีวิต “ปริญญ์ ภาษี” หญิงสาวจากจังหวัดอุดรธานี เจ้าของแบรนด์สูทวินเทจ “PRYNN” กลับมีเส้นทางต่างออกไป เธอต้องลุกขึ้นมาทำธุรกิจเพื่อใช้หนี้เกือบหลักล้านบาทในวัยยี่สิบกว่า ต้องอดมื้อกินมื้อ ค้างค่าเช่าห้องเกือบปี
กว่าจะมีวันนี้ได้ ใครจะรู้? ภายใต้เสื้อสูทลวดลายสีสันสดใส กลับซ่อนคราบน้ำตาและเรื่องราวชีวิตที่หนักหน่วงเอาไว้
ความฝันของเด็กสาวจากต่างจังหวัด
ปริญญ์ เกิดและเติบโตที่จังหวัดอุดรธานี ในหมู่บ้านเล็กๆ ที่อยู่ห่างจากตัวเมืองออกไปกว่า 70 กิโลเมตร ตั้งแต่สมัยเรียนมัธยม เธอชอบดูนิตยสารแฟชั่นเหมือนกับเด็กสาวทั่วไป เพราะเป็นคนรูปร่างค่อนข้างใหญ่จึงอยากแต่งตัวดูดีเหมือนกับพี่ๆ ดาราบ้าง แต่ด้วยความที่ครอบครัวอยากให้มีหน้าที่การงานมั่นคง อยากให้รับราชการ ตอนสอบเข้ามหาวิทยาลัยจึงเลือกเรียนรัฐศาสตร์
กระทั่งจบมา ก็ได้เข้าทำงานอยู่ในสถานทูตอิตาลีตอบโจทย์ความฝันของครอบครัว แต่ปริญญ์กลับรู้สึกไม่มีความสุข และการใช้ชีวิตในกรุงเทพฯ ดูจะเป็นสิ่งที่เธอไม่ค่อยคุ้นชินสักเท่าไหร่ ปริญญ์เฝ้าถามตัวเองอยู่หน้าจอคอมเสมอว่า “นี่คือ สิ่งที่เธออยากทำจริงไหม” จนในที่สุดก็ตัดสินใจลาออกจากงาน เพื่อตามหาความหมายของชีวิตอีกครั้ง
ปริญญ์ทดลองทำหลายสิ่ง ทั้งเปิดร้านออนไลน์ขายเสื้อผ้าเล็กๆ ไปเป็นเซลล์อสังหาริมทรัพย์ กระทั่งร่วมลงทุนทำธุรกิจกับเพื่อน ที่เป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องราวพลิกพลันครั้งใหญ่ในชีวิตของเธอ
หนี้ก้อนแรกในชีวิต
“ตอนนั้นลาออกจากงานมา ก็มาลงทุนทำธุรกิจกับเพื่อน ด้วยความที่ทำแล้วสเกลมันใหญ่ขึ้น เลยไปชวนเพื่อนอีกคนมาลงทุนเพิ่มด้วย ปรากฏว่าโดนโกง เพื่อนอีกคนเอาเงินหนีหายไปเลย ทำให้เรากลายเป็นหนี้ก้อนแรกในชีวิต 7 แสนบาทในวัย 27 ปี ซึ่งเราต้องรับผิดชอบ เพราะเขาเป็นเพื่อนเรา แต่บอกตรงๆ ตอนแรกทำอะไรไม่ถูก เราก็หนีก่อนเลย ไม่ติดต่อใครทั้งนั้น เพื่อน ครอบครัว ตัดทุกช่องทางการติดต่อ ไม่บอกใครเลยว่าเกิดอะไรขึ้น ยังไม่พร้อม เก็บตัวอยู่แต่ในห้อง ค่าเช่าก็ค้างไม่ได้จ่าย เจ้าของก็มาเคาะทวง เราก็ได้แต่บอกว่ายังไม่มี เงินซื้อข้าวก็แทบไม่มี ต้องพยายามกินวันละมื้อ หาร้านที่ให้เยอะๆ จะได้อิ่มทั้งวัน ที่เคยได้ยินเรื่องคนอื่นๆ ว่าเขาต้องลำบากขนาดนั้นเลยเหรอ พอเจอกับตัวเอง ก็เพิ่งได้เข้าใจ
“เป็นแบบนั้นอยู่เกือบปีหนึ่งเต็มๆ จนถึงจุดหนึ่งที่รู้สึกว่า เฮ้ย! ชีวิตมันจะแบบนี้จริงๆ เหรอ นี่คือ ความหมายของชีวิตเราเหรอ ไม่สิ ตอนนั้นก็เลยคิดได้ว่าตอนที่ทำงาน เรามีเสื้อสูทเยอะมาก เลยลองเริ่มเอามาโพสต์ขายในไอจี ใช้โทรศัพท์เครื่องเก่าๆ ถ่าย หาเงินมากินข้าว มาจ่ายค่าห้องก่อน ขายตัวละ 300-500 บาท จนเริ่มเก็บเงินได้หลักพัน ก็ไปเดินตลาดนัดมือสอง ไปหาสูทมือสองมาขายเพิ่ม จนเริ่มจ่ายค่าห้องเดือนแรกได้ ก็เริ่มมาทำขายจริงจัง มีเจ้าประจำคัดมาส่งให้ ทุกอย่างเริ่มจากห้องเช่าคอนโดเล็กๆ ที่พัทยา คัดเอง ซักเอง เย็บ รีด ซ่อมแซมเอง เริ่มขายดีขึ้นเรื่อยๆ ต้องตื่นตั้งแต่ตี 4 ทุกวันเพื่อมาเขียนที่อยู่ลูกค้า เพราะไม่มีเงินซื้อเครื่องปริ้น ขายได้วันละ 10-15 ตัว วันไหนไม่ได้เขียน ก็มานั่งดูแฟชั่น อัพเดตเทรนด์ สีใหม่ๆ ทรงแบบนี้แมตซ์กับอะไรถึงจะสวย วินัย คือ สิ่งสำคัญเลย”
ต่อยอดสูทธรรมดา สู่สูทเพนต์ที่มีแค่ตัวเดียว
ปริญญ์เล่าว่า เธอเริ่มกลับมาตั้งตัวได้อีกครั้ง จากความชื่นชอบในแฟชั่นที่มีติดตัวมาตั้งแต่เด็ก จากทำเองคนเดียวลำพัง ก็เริ่มจ้างลูกน้องมาช่วย เริ่มเช่าโกดังเก็บสต็อกสินค้า จนรู้สึกว่าสามารถทำให้ท้าทายได้มากกว่านี้ จึงเริ่มทดลองนำเสื้อสูทมาเพนต์เป็นลวดลายต่างๆ ซึ่งตอนนั้นยังไม่มีใครทำมาก่อน โดยการวาดลงบนผืนผ้านั้นแตกต่างจากการวาดลงในกระดาษ เช่น ผ้ามีความดิ้นหนีได้, สีซึมหายไปกับเนื้อผ้าบ้าง ปริญญ์ต้องหาเทคนิคลองผิดลองถูกด้วยตัวเองอยู่นาน จนสำเร็จขึ้นมาได้ จึงเริ่มสร้างแบรนด์แบบจริงจังขึ้นมา
“เราไม่ได้ไปเรียนเพิ่มที่ไหน ทุกอย่างเกิดจากความชอบ และลองเรียนรู้ถูกผิดด้วยตัวเอง ดูหนังสือแฟชั่นบ้าง ยูทูปบ้าง จำได้เลยตัวแรกที่วาด คือ ลายสูตรคำนวณคณิตศาสตร์ ตอนนั้นเสื้อสูทปกติเราขายอยู่ที่ตัวละ 350 บาท แต่พอเอามาเพนต์ เราลองตั้งราคาตัวแรกที่ 900 บาท แรกๆ น้องที่ทำด้วยกันก็ไม่มั่นใจว่าจะขายได้ไหม ปรากฏว่าพอโพสต์ไป คนทักเข้ามาเป็นร้อยคนเลย เป็นความรู้สึกแบบบอกไม่ถูก เหมือนถูกรางวัลที่ 1 เลย ว่าสิ่งที่เราคิดไว้มาถูกทางแล้ว เป็นจุดเปลี่ยนโมเดลธุรกิจเลย”
จากจุดเปลี่ยนดังกล่าว ปริญญ์เล่าว่าทำให้แบรนด์กลายเป็นที่รู้จักมากขึ้น และมีลูกค้าประจำเพิ่มขึ้น จากจุดเริ่มต้นห้องเช่าเล็กๆ ในคอนโด ก็เริ่มขยับขยายกลายเป็นอาคารพาณิชย์ 5 ชั้น ที่ครบวงจร ทั้งออฟฟิศ ที่ทำงาน ที่อยู่อาศัย
“ตอนนั้นไม่มีอะไรจะแลกแล้ว เราเลยบอกเขาว่า ถ้าไม่ยอม เราก็ยินดีเข้าคุกเลย”
วันเคลียร์ใจ ยอมรับอดีต เพื่อเริ่มต้นใหม่
“ตอนนั้นพอเริ่มตั้งตัวได้ เริ่มเคลียร์ค่าเช่าห้องให้ทันกับรอบบิลปัจจุบันได้ เราก็เริ่มติดต่อไปที่ทนายของเพื่อน เพราะตอนนั้นเขาฟ้องเราอยู่ จริงๆ เช็คไม่ใช่ชื่อเรา เป็นชื่อของเพื่อนอีกคนที่โกงเงินไป แต่เราคิดว่ายังไงเราเป็นคนชวนเขามาทำด้วย ก็ต้องรับผิดชอบ เป็นครั้งแรกในวัย 28 ปีเลยที่ต้องไปขึ้นศาล เครียดมาก กดดันทุกอย่าง ร้องไห้เลย เราก็ไปขอไกล่เกลี่ยกับเขาว่าขอผ่อนได้ไหม กางบัญชีให้ดูเลย และก็ขอโทษเขา เพราะตอนนั้นไม่รู้จะทำยังไง เลยหนีไปก่อน ตอนแรกเขาก็ยังโกรธอยู่ และไม่ยอมให้ผ่อน ตอนนั้นไม่มีอะไรจะแลกแล้ว ก็เลยบอกเขาว่า ถ้าไม่ยอม เราก็ยินดีเข้าคุกเลย เขาเลยอ่อนลง และยอมให้ผ่อนได้
“พอเคลียร์ทุกอย่างได้ เราก็เริ่มติดต่อกลับไปหาครอบครัว บอกเขาว่าตอนนี้เราทำอะไรอยู่ ชีวิตเราเป็นยังไงบ้าง คนแรกที่บอก คือ คุณยาย เพราะท่านเลี้ยงเรามา ตอนแรกทุกคนคิดว่าเราหายสาบสูญไปแล้ว เพราะติดต่อไม่ได้เลย และก็พาเขามาดูที่โรงงาน ถึงจะผิดหวังที่ไม่ได้รับข้าราชการแล้ว แต่ทุกคนเข้าใจ และยินดีกับสิ่งที่เราทำ”
ขายดี จนโดนรูดซื้อยกราว
ปริญญ์เล่าว่าจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญอีกครั้งที่ทำให้ธุรกิจเติบโตขึ้น ก็คือ การเริ่มไปขายออกบูธขายสินค้า ทำให้เธอได้พบกับลูกค้าตัวจริง ได้กระจายสินค้าออกไปมากขึ้น
“จุดเปลี่ยนที่สำคัญของแบรนด์อีกครั้ง คือ จากขายในไอจีอย่างเดียว เราก็เริ่มไปออกบูธด้วย จำได้ตอนนั้นไปตั้งที่ไอคอนสยาม ก็หอบหิ้วเสื้อสูทไปราว 60-70 ตัว ลองตั้งวางขายดูก่อน ก็มีลูกค้าชาวจีนมายื่นดู ตอนแรกคิดว่าเขาคงหยิบเลือกเอาไว้ลองเฉยๆ เรากำลังจะหยิบให้ลูกค้าคนอื่นดูด้วย ปรากฏเขาบอกว่า “อันนี้เอาหมดเลย 30 ตัว” ห้างปิด 4 ทุ่มวันนั้นเลยต้องตีรถกลับไปพัทยาเอามาเพิ่ม ถึงกรุงเทพฯ ตี 3 เตรียมของต่อ เรียกว่าขายดีมากๆ จากนั้นเราเลยเริ่มออกบูธมากขึ้น ก็เริ่มมีลูกค้าจากต่างประเทศที่ซื้อไปขายต่อมากขึ้น จนกระทั่งได้เปิดร้านของตัวเองขึ้นมาเมื่อ 2 ปีที่แล้ว”
ปริญญ์เล่าจุดเด่นของสินค้าให้ฟังว่า เอกลักษณ์ที่เป็นจุดเด่นของสูทแบรนด์ PRYNN คือ ใครใส่ก็ต้องสะดุดตา ต้องหยุดดู
“เราจะบอกกับน้องๆ เสมอว่า สูทของเราใครเห็นแล้วต้องสะดุดตา แรกๆ น้องๆ ก็กลัวกันว่าจะดูเยอะไปไหม แต่เรามองว่าทำทั้งที่ ก็อยากทำให้สุดไปเลย ถ้ามีพี่ดาราใส่ออกกล้อง คนต้องหยุดดู ซึ่งก็เป็นอย่างที่เราคิด คนแรกที่ทักมา คือ สไตล์ลิสต์ของพี่ดีเจเอกกี้ (เอกชัย เอื้อสังคมเศรษฐ) ตอนนี้เรามีทีมงานที่ทำประจำด้วยกันทั้งหมด 6 คน คอยซักทำความสะอาด รีบ เย็บซ่อมแซม และเพ้นท์ โดยทุกตัวเราจะเป็นคนกำหนดว่าตัวนี้ควรวาดรูปอะไร ใช้สีอะไร
“นอกจากนี้ยังมีส่งไปให้ช่างคุณป้าคุณยายที่จังหวัดอุดรธานี ช่วยเย็บตัดให้ด้วย นอกจากสูทปกติบางตัวเราก็เอามาดัดแปลงเป็นอย่างอื่น เช่น ตัดแขน, ทำเสื้อครอป เพื่อให้ดูเก๋ขึ้น ใช้งานได้ง่ายขึ้นด้วย ซึ่งจริงๆ เสน่ห์ของมือสอง คือ มีตัวเดียว นอกจากนี้การตัดเย็บคุณภาพเนื้อผ้าถ้าเทียบในราคาเท่ากัน บางตัวยังดีกว่ามือหนึ่งด้วยซ้ำ”
ปัจจุบันราคาเสื้อสูทและสินค้าอื่นๆ ของแบรนด์ PRYNN อยู่ที่ราว 1,500-6,500 บาท เฉลี่ยยอดขายต่อเดือนอยู่ที่ประมาณ 300 ตัว ซึ่งเท่ากับว่าช่วยลดการผลิตและซื้อเสื้อผ้าใหม่ลงได้หลายร้อยตัวต่อเดือนทีเดียว และในอนาคตอันใกล้อาจมีการแตกแบรนด์ใหม่ เป็นเสื้อสูทมือหนึ่ง เพื่อตอบโจทย์ลูกค้าที่อยากได้สินค้าใหม่ แต่ยังคงคอนเซปต์รักษ์โลกเหมือนเช่นเคย ด้วยการใช้ผ้ารีไซเคิลจากขวดน้ำพลาสติก
“ชีวิตจะสักแค่ไหนกันเชียว ถ้าโชคชะตาอยากให้เราตายวันนี้ ก็ลองดู”
ขอเพียงอย่ายอมแพ้
ปริญญ์เล่าย้อนถึงบทเรียนชีวิตที่ผ่านมาว่า สิ่งที่ทำให้เธอลุกกลับขึ้นมายืนได้อีกครั้ง เป็นเพราะการไม่ยอมแพ้ของตัวเอง แม้เส้นทางธุรกิจของเธออาจเริ่มต้นด้วยการหาเงินมาใช้หนี้ ที่อาจติดลบมากกว่าคนอื่น แต่มองว่าก็เป็นสีสันอย่างหนึ่งของชีวิต ที่หากวันหนึ่งสามารถก้าวผ่านมาได้ จะกลายเป็นภูมิคุ้มกันที่แข็งแกร่ง ที่ต่อให้มีอะไรผ่านเข้ามาอีก ก็คงไม่น่ากลัวอีกต่อไป
“ปริญญ์เชื่อว่าคนเราทุกคน ต้องมีจุดหนึ่งของชีวิตที่ต้องเจอกับอะไรแบบนี้ แต่อยู่ที่เราจะก้าวผ่านมันมาได้อย่างไร ในวันนั้นคอนโดเราอยู่ที่ชั้น 20 แต่เราเป็นคนคิดบวก ไม่เคยคิดทำร้ายตัวเอง ในวันที่ลุกขึ้นมาเราแค่บอกกับตัวเองว่า “ลองดูสักตั้งสิ ชีวิตมันจะสักแค่ไหนกันเชียว ถ้าโชคชะตาอยากให้เราตายวันนี้ ก็ลองดู” ตอนนั้นนอนฝันร้ายทุกคืนว่ามีคนมาทวงหนี้ แต่สุดท้ายเราก็ผ่านมันมาได้ ต้องขอบคุณตัวเองที่ไม่ยอม Give Up ไปเสียก่อน ซึ่งถ้าเราผ่านมันมาได้ ปัญหาอื่นที่เจอ กลายเป็นเรื่องเล็กไปหมด
“เหมือนกับการทำธุรกิจทุกวันนี้ ถึงจะมีอุปสรรคอะไรเข้ามา แต่ถ้าเป้าหมายเราใหญ่พอ เราเชื่อว่าทำได้ อุปสรรคที่เกิดขึ้นแต่ละวันจะกลายเป็นเรื่องเล็กไปหมด ถึงเราเป็นแบรนด์สูทมือสอง แต่เราไม่ได้มองภาพแค่ในประเทศ เป้าหมายธุรกิจที่เราวางไว้ คือ ระดับโกลบอล วันหนึ่งเราฝันอยากไปมิลาน, ปารีส ฯลฯ ตลอดการทำธุรกิจเราได้พบกับผู้คนที่มีแพชชั่นคล้ายๆ กัน มีการดีลกับแบรนด์ต่างประเทศไว้หลายที่ เช่น ปีหน้าอาจมีจัดแฟชั่นโชว์ที่สิงคโปร์, ออสเตรเลีย เรากำลังเดินตามเส้นทางความฝันที่วางเอาไว้…และเชื่อว่าต้องไปถึงแน่นอน” ปริญญ์กล่าวทิ้งท้ายเอาไว้.
ข้อมูลติดต่อ
IG : blazer_suit_fashionby_prynn
www.smethailandclub.com
ศูนย์รวมข้อมูลธุรกิจเอสเอ็มอี