TEXT : วิมาลี วิวัฒนกุลพาณิชย์
Main Idea
- ถ้าคุณเป็นร้านอาหารแล้วต้องเจอเหตุการณ์ไฟดับเป็นเวลายาวนาน เตาอบ ตู้เย็นไม่สามารถทำงานได้ คุณจะทำอย่างไร
- ทางออกของร้านอาหารยูเครนที่ได้รับผลกระทบจากสงคราม กระแสไฟฟ้าดับอยู่บ่อยๆ จึงได้ปรับตัว
- ไปดูกันว่าแต่ละร้านปรับตัวกันอย่างไรจึงยังต้อนรับลูกค้าได้
สงครามระหว่างรัสเซียกับยูเครนที่ปะทุตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมายังไม่มีทีท่ายุติ ธุรกิจหนึ่งที่ได้รับผลกระทบ คือ ร้านอาหารและผับบาร์ที่ดำเนินไปอย่างยากลำบากเมื่อระบบโครงสร้างพื้นฐานถูกโจมตีจนเป็นผลให้เกิดกระแสไฟฟ้าดับอยู่บ่อย ๆ อย่างไรก็ตาม มีร้านอาหารหลายแห่งไม่ยอมพ่ายแพ้แก่โชคชะตา ได้ทำการปรับตัวและปรับเมนูเพื่อให้สามารถเปิดบริการต่อไปได้ท่ามกลางบรรยากาศมืดมิด แม้ไร้ซึ่งแสงไฟ และเตาไฟ เตาอบ หรือตู้เย็นไม่สามารถทำงานได้ ไปดูกันว่าแต่ละร้านปรับตัวกันอย่างไรจึงยังต้อนรับลูกค้าได้
blackout menu กับแสงเทียนท่ามกลางสงคราม
“ไทยแลนด์ ไฮ” (Thailand Hi) ในกรุงเคียฟ เมืองหลวงของยูเครนเป็นร้านแรก ๆ ที่แนะนำ “เมนูไฟดับ” หรือ blackout menu ที่เสิร์ฟเฉพาะอาหารที่ไม่ต้องผ่านกระบวนการที่ใช้ความร้อนมากในการทำให้สุก เช่น สลัดต่าง ๆ และอาหารประเภทจี่บนกระทะให้พอสุก รวมถึงเครื่องดื่มค็อคเทล อิกอร์ โนวิคอฟ ลูกค้าประจำร้านไทยแลนด์ ไฮเล่าว่าเขามาใช้บริการที่ร้านหลายครั้งแล้วช่วงไฟดับ บรรยากาศแปลกแตกต่างไปอีกแบบ “แสงเทียนบนโต๊ะอาหารกับเงาที่เต้นไหวบนผนังกำแพงสร้างความโรแมนติกได้ไม่น้อย”
ส่วนที่ “เอสโคบาร์” ร้านอาหารกึ่งผับสไตล์คิวบาในเคียฟเช่นกัน ทุกคืนวันพฤหัสยังคงมีดนตรีสดบรรเลงเช่นเดิม เพิ่มเติมต้องจุดเทียนทั้งร้าน เมนูที่บริการประกอบด้วยเมนูที่ทำสำเร็จมาแล้ว และไม่ใช่ความร้อน เช่น ตับบด ฮัมมุส (เครื่องจิ้มสไตล์ตะวันออกกลางทำจากถั่วลูกไก่) นาโช่ (อาหารทานเล่นทำจากแป้งข้าวโพด) สเต็กทาร์ทาร์ที่ทำจากเนื้อดิบปรุงรส และสลัด ที่เอสโคบาร์ ลูกค้าสามารถสั่งเครื่องดื่มชาหรือกาแฟ หรือค็อคเทลได้ พนักงานได้ฝึกทำเครื่องดื่มท่ามกลางความสลัวมาแล้ว
ขณะที่ร้าน “อันเดอร์ เวิลด์” ซึ่งเป็นร้านอาหารอิตาเลี่ยนที่เสิร์ฟอาหารแบบไฟน์ ไดนิ่งโดยไม่หวั่นว่าไฟจะดับหรือไม่ ดิมิโทร ทาเชนโก้ ผู้จัดการร้านกล่าวว่าทางร้านได้ออกแบบเมนูที่ไม่ใช้ไฟหรือใช้ไฟน้อยแต่ยังคงความหรูได้ อาทิ เซบิเช-ยำปลาหรืออาหารทะเลสไตล์ละตินที่มส่วนผสมของส้มแมนดาริน อโวคาโด และเสาวรส ปลาทูน่าจี่เสิร์ฟกับซ้อสส้มซิซิเลียน กัวคาโมเล่เครื่องจิ้มสไตล์เม็กซิกันกับมะกอก อกเป็ดคาราเมลกับซ้อสพริกและฟักทอง เนื้อเค็มรมควันกับลูกแพร์ มะเขือม่วงดองกับซ้อสมัสตาร์ดและน้ำเชื่อมเมเปิล เป็นต้น ทาเชนโก้ ผู้จัดการร้านยังกล่าวอีกว่า “เราชาวยูเครน แข็งแกร่ง และสามารถปรับตัวง่าย” ทั้งนี้ ทางร้านยังได้ซื้อเทียนไขเพิ่มอีกเท่าตัว และนำเตาย่างบาร์บีคิวแบบพกพามาประยุกต์ใช้ด้วย
เช่นเดียวกับที่ “คาปาน่า” ร้านอาหารยูเครนที่เสิร์ฟอาหารฟิวชั่นระหว่างอาหารยูเครนโบราณกับอาหารสมัยใหม่ แอนนา โบรัก ผู้จัดการร้านกล่าวว่าโชคดีที่ร้านตั้งอยู่ในอาคารเก่าสมัยศตวรรษ 19 ที่ไม่ได้ออกแบบมาสำหรับใช้ไฟฟ้า ในร้านจึงมีเตาผิงขนาดใหญ่ให้ความอบอุ่นแก่ลูกค้าที่มาใช้บริการ และยังมีเตาอิฐใช้ฟืนที่ทางร้านสามรถใช้ปรุงอาหารได้ แอนนาเล่าว่าก่อนเกิดสงคราม เตาฟืนมีการใช้งานน้อยมาก แต่ช่วงที่ไม่มีกระแสไฟฟ้านี้ พ่อครัวของร้านใช้เตาฟืนในการประกอบอาหารเป็นหลัก
แอนนากล่าวว่าสงครามไม่อาจทำอะไรได้ ชาวยูเครนแข็งแกร่งพอที่จะยังใช้ชีวิตนอกบ้านได้ตามปกติ และยังคงไปใช้บริการที่ร้านอาหารหรือผับบาร์เพราะคนยูเครนไม่กลัวความมืด “ลูกค้าบางคนอาจไม่ชอบเมื่อไฟดับ แต่หลายคนเริ่มคุ้นชิน บางคนถึงกลับชอบด้วยซ้ำ ไฟดับทีไรก็อยากพาคู่รักมาออกเดทเพราะโรแมนติกดี”
ด้านโนวิคอฟ ลูกค้าที่มักแวะเวียนไปใช้บริการตามร้านอาหารต่าง ๆ แม้จะไฟดับก็ตามกล่าวว่าจะว่าไปสงครามเป็นบ่อเกิดของความคิดสร้างสรรค์เพราะทำให้วิถีการดำเนินธุรกิจในยูเครนเปลี่ยนไป การปรับตัวในสภาวะที่ยากลำบากจะกลายเป็นนิวนอร์มอลหรือวิถีปฏิบัติใหม่ที่แพร่ไปทั่วทุกแห่งในยูเครน
www.smethailandclub.com
ศูนย์รวมข้อมูลธุรกิจเอสเอ็มอี