2 คำที่ทายาทต้องเข้าใจก่อนทุกอย่างพัง ศิลปะการสืบทอดธุรกิจครอบครัวให้รอด จากเจ้าของเพจ ‘ทำที่บ้าน’

Text: Neung Cch.

Photo : Sunun Lorsomsab


     ในทุกธุรกิจครอบครัว มีจุดเปราะบางที่เงินไม่อาจซ่อมได้... และถ้าทายาทไม่เข้าใจ ‘สองคำนี้’ ต่อให้มีกลยุทธ์ระดับโลก ธุรกิจก็ยังพังได้ในพริบตา

     ธุรกิจครอบครัวคือหัวใจของเศรษฐกิจไทย แต่สถิติกลับสะท้อนความจริงที่น่าตกใจ ส่วนใหญ่ไม่ถึงรุ่นที่สาม และสาเหตุที่แท้จริงไม่ใช่ตลาด แต่เป็น ความซับซ้อนภายในครอบครัวเอง

     กวาง–เสสินัน นิ่มสุวรรณ์ ทายาทธุรกิจปั๊มน้ำมันในลพบุรี และผู้ก่อตั้งเพจ ทำที่บ้าน ได้เรียนรู้บทเรียนนี้จากประสบการณ์ตรง และจากบทสัมภาษณ์ทายาทอีกกว่า 100 คน ผ่านผู้ติดตามกว่า 2 แสนคน เขาให้แง่คิดว่า หากจะให้เหลือเพียง 2 คำ ที่ทายาทต้องเข้าใจก่อนจะนำธุรกิจไปสู่ความยั่งยืน คำตอบคือ ความผูกพัน (Relationship) และความเชื่อมั่น (Trust)

     แต่ในทางปฏิบัติ การสืบทอดธุรกิจครอบครัวไม่ได้จบแค่สองคำนี้ เพราะทายาททุกคนจะต้องเจอกับ สามก้อนปัญหาใหญ่ ความท้าทายเหล่านี้เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ และไม่มีสูตรสำเร็จตายตัว เพียงแต่แต่ละบ้านจะหาวิธีจัดการแตกต่างกัน

ความผูกพัน: หัวใจที่ซ่อนอยู่หลังงบดุล

     “เครื่องมือทันสมัย ตลาดใหม่ ระบบอัตโนมัติ… ทั้งหมดอาจไร้ค่า หากความสัมพันธ์ในครอบครัวพังไปก่อน”

     ทายาทธุรกิจส่วนใหญ่เมื่อกลับมารับไม้ต่อมักมุ่งแต่เทคโนโลยีและการตลาด แต่กลับมองข้ามเสาหลักที่แท้จริง: ความผูกพันในครอบครัว

     กวางย้ำว่า“แม้จะมีเครื่องมือการจัดการธุรกิจมากมาย แต่ถ้าความสัมพันธ์ไม่ดี เครื่องมือเหล่านั้นก็กลายเป็นอาวุธ”

     ในธุรกิจครอบครัว ความขัดแย้งมักไม่จบแค่เรื่องงาน เมื่อต้องเผชิญความขัดแย้ง เรื่องส่วนตัวในอดีตก็มักถูกดึงขึ้นมา ทำให้การหาทางออกทางธุรกิจยากยิ่งขึ้น

The Art of Trust  ศิลปะการสืบทอดที่ต้องแลกด้วยความเชื่อมั่น

     แม้ทายาทธุรกิจหลายคนจะเต็มไปด้วยไฟและไอเดียใหม่ๆ ที่อยากนำเข้ามาปรับใช้ แต่สิ่งที่พบเหมือนกันคือ ไอเดียเหล่านี้มักพบแรงต้านจากผู้ใหญ่ ปัญหานี้สะท้อนการปะทะระหว่าง ความรู้ของคนรุ่นใหม่ กับ ประสบการณ์ของคนรุ่นก่อน กวางเรียกสิ่งนี้ว่า “ศิลปะการขายโครงการ”

     การเปลี่ยนแปลงธุรกิจที่อยู่คู่ครอบครัวมานานไม่ใช่เรื่องง่าย ทายาทรุ่นใหม่จึงต้องเผชิญกับกำแพงแห่ง ความไม่เชื่อมั่น จากคนรุ่นก่อน

     “ไม่มีใครไม่อยากส่งต่อให้ทายาท แต่ต้องทำให้ผู้ใหญ่คลายความกังวล…กุญแจสำคัญคือการสร้างความน่าเชื่อถือให้เกิดขึ้นกับตัวเอง”

     แต่ละครอบครัวมีวิธีสร้างความเชื่อมั่นไม่เหมือนกัน สำหรับกลยุทธ์ของกวาง เขาเลือกใช้ความอ่อนน้อมถ่อมตัวและเคล็ดลับที่เรียกว่า ‘ตีตั๋วเด็ก’ ใช้ความเป็นเด็กให้เป็นประโยชน์ สามารถผิดพลาดและขอคำแนะนำได้ง่ายกว่า

     “ธุรกิจครอบครัวไม่มีคำตอบตายตัว บางครอบครัวเลือกประนีประนอม บางครอบครัวแยกไปทำธุรกิจเอง แต่สิ่งที่สำคัญคือ การสื่อสารและความสัมพันธ์ เปรียบเสมือนเครื่องมือจัดการที่ทรงพลังที่สุด เพราะถ้าคนในครอบครัวมีความผูกพันที่ดีต่อกัน แม้ไม่มีเครื่องมือทางธุรกิจซับซ้อน ก็ยังสามารถหาทางออกด้วยกันได้”

สามก้อนปัญหาใหญ่ของธุรกิจครอบครัว

     จากการพูดคุยกับทายาทกว่า 100 คนผ่านเพจ "ทำที่บ้าน" กวางสรุปปัญหาของธุรกิจครอบครัวออกเป็นสามกลุ่มหลัก ซึ่งทุกครอบครัวต้องเผชิญไม่ว่าอยู่ในธุรกิจใด

     การสร้างความเชื่อมั่น (Trust): ทายาททุกคนต้องเริ่มจากการทำให้รุ่นก่อนยอมรับ ไม่ว่าจะใช้วิธีประนีประนอม ค่อยๆ เปลี่ยนแปลง หรือแม้แต่การเผชิญหน้า ความน่าเชื่อถือต้องถูกสร้างผ่านผลลัพธ์ที่พิสูจน์ได้ เหมือนกับเขาที่ค่อยๆ สร้าง Small Win

     การจัดการความสัมพันธ์ในครอบครัว: ปัญหาครอบครัวเปรียบเสมือนระเบิดเวลา แม้วันนี้ครอบครัวจะดูลงตัว แต่เมื่อธุรกิจเติบโตและมีสมาชิกมากขึ้น ความขัดแย้งอาจปะทุได้ การสื่อสารอย่างเปิดใจและการวางกรอบการบริหารครอบครัว เช่น การจัดทำธรรมนูญครอบครัว จึงจำเป็นอย่างยิ่ง

     การปรับโมเดลธุรกิจ: สาเหตุหลักที่ธุรกิจครอบครัวล้มเหลวไม่ใช่แค่ปัญหาครอบครัว แต่เป็นเพราะตัวธุรกิจไม่สามารถปรับตัวให้ทันยุคสมัย ทายาทต้องกล้าท้าทายโมเดลธุรกิจเดิม เช่น การเปลี่ยนจากร้านค้าดั้งเดิมเป็นแพลตฟอร์มออนไลน์ หรือการสร้างแบรนด์ใหม่จากรากฐานของครอบครัว

คำสาปรุ่นที่สาม: ความจริงหรือภาพลวง

     หลายคนเคยได้ยินว่า “รุ่นที่ 1 สร้าง รุ่นที่ 2 สานต่อ รุ่นที่ 3 ทำลาย” ทำให้คำว่า "รุ่นที่สามทำลาย" กลายเป็นภาพจำของธุรกิจครอบครัว แต่กวางมองว่า เรื่องนี้มีทั้งความจริงและความเข้าใจผิด

     ธุรกิจมีวัฏจักรของมันเอง: เริ่มต้น เติบโต และถดถอย โดยปกติ เมื่อถึงรุ่นที่สาม ธุรกิจมักอยู่ในช่วงถดถอยตามธรรมชาติของวงจร แต่ถ้าทายาทไม่สามารถหา “เส้นโค้งใหม่” (New S-Curve) ได้ ธุรกิจก็จะล้มเหลว ซึ่งไม่ใช่เพราะทายาทไร้ความสามารถ แต่เป็นเพราะบริบทของยุคสมัยเปลี่ยนไป

     ในอดีต วัฏจักรธุรกิจอาจยาวนาน 50–60 ปี แต่ในยุคการแข่งขันรุนแรงและเทคโนโลยี disrupt ทุกอย่าง วัฏจักรนี้สั้นลง บางธุรกิจถึงจุดถดถอยตั้งแต่รุ่นที่สอง ทายาทจึงต้องกล้าคิดนอกกรอบ และนำพาธุรกิจไปสู่นวัตกรรมใหม่ๆ

“ธุรกิจ” & “ครอบครัว” 2 คำที่ต้องดูแลไปพร้อมกัน

     คำว่า “ธุรกิจครอบครัว” ฟังดูเหมือนเป็นคำเดียว แต่จริงๆ แล้วคือสองคำที่ต้องดูแลไปพร้อมกัน แต่มักขัดแย้งกันที่สุด กวางขยายความให้ฟังว่าที่เป็นเช่นนี้เพราะ

     “คำว่าธุรกิจ ต้องการผลตอบแทน กำไร และการเติบโต แต่คำว่าครอบครัว ต้องการความสัมพันธ์ ความเข้าใจ และการฟังกันให้จบก่อนตัดสิน”

     สองคำนี้ไม่เคยไปในทิศทางเดียวกันเสียทีเดียว แต่ต้องอยู่ภายใต้หลังคาเดียวกันที่ชื่อว่า “ธุรกิจครอบครัว” จุดยากของการสืบทอดไม่ใช่แค่ยอดขายหรือกลยุทธ์ใหม่ แต่คือการดูแลสองคำนี้ไม่ให้พังไปพร้อมกัน

     “เรากลับมาในธุรกิจครอบครัว เพราะอะไร” กวางบอกว่านี่คือคำถามสำคัญที่สุด มากกว่าการชอบหรือไม่ชอบธุรกิจ อาจเป็นเรื่องเงิน ความมั่นคง สุขภาพ หรือครอบครัวก็ได้ แต่ถ้าเราตอบคำถามนี้ได้จริง วิธีการจะตามมาเอง

     สำหรับเขา การกลับมาทำธุรกิจที่บ้าน คือโอกาสได้อยู่กับครอบครัวมากขึ้น เพราะสุดท้าย ‘ธุรกิจที่ดี’ ไม่ได้วัดแค่ผลกำไร แต่สะท้อนจากความใกล้ชิดที่หลายคนทำงานออฟฟิศปรารถนา

ปัญหาครอบครัวรุ่นใหม่ไม่เหมือนเดิม

     เมื่อถามว่า “ปัญหาธุรกิจครอบครัวในทศวรรษนี้เปลี่ยนไปไหม?” กวางตอบทันทีว่า “เปลี่ยนครับ และเปลี่ยนเยอะมาก”

     จากประสบการณ์พูดคุยกับเจ้าของกิจการหลายรุ่น เขาพบว่า ปัญหาของธุรกิจครอบครัวในอดีตมักอยู่ที่ “ความเป็นกงสี” หรือวัฒนธรรมภายในบ้าน เช่น เรื่องสะใภ้กงสี การแบ่งผลประโยชน์ หรือความขัดแย้งระหว่างญาติพี่น้อง แต่วันนี้ ความขัดแย้งแบบนั้นค่อยๆ จางลง คนรุ่นใหม่เริ่มมองธุรกิจด้วยสายตาแบบมืออาชีพมากขึ้น และไม่ค่อยอินกับคำว่ากงสีเหมือนคนรุ่นก่อน

     “เมื่อก่อนปัญหาคือ ครอบครัวจะรวยขึ้นแบ่งยังไงดี แต่ตอนนี้คือ disruption จะทรานส์ฟอร์มยังไงให้รอด และจะต่อยอดธุรกิจยังไงให้ไม่ตกขบวน”

     นี่คือพัฒนาการสำคัญของธุรกิจครอบครัวไทย จากยุคที่ต้อง “อยู่ร่วมกันให้ได้” สู่ยุคที่ต้อง “เปลี่ยนไปให้ทัน” เพราะทุกครอบครัวไม่ใช่แค่ต้องจัดการความสัมพันธ์ภายใน แต่ยังต้องเรียนรู้วิธีบริหารความเปลี่ยนแปลงภายนอกด้วย

สูตรผสานพลังรุ่นเก่า–รุ่นใหม่ให้ธุรกิจรอด

     อีกหนึ่งปัญหาอมตะที่หลายคนคงอยากรู้คือ “ประสบการณ์ของคนรุ่นเก่ากับความรู้ของคนรุ่นใหม่ จะจูนกันได้ไหม?”

     กวางตอบชัดเจน: “ได้ครับ และควรทำด้วยซ้ำ” ธุรกิจที่เติบโตอย่างยั่งยืนต้องมีทั้งประสบการณ์และความรู้เดินไปพร้อมกัน

     คนรุ่นก่อนสร้างทุกอย่างจากศูนย์ ด้วยการลองผิดลองถูก ลงมือทำเองทุกขั้นตอน แต่โลกธุรกิจวันนี้ต้องการระบบ การสเกล และองค์ความรู้ทันสมัย ประสบการณ์อย่างเดียวไม่พออีกต่อไป ส่วนคนรุ่นใหม่ แม้มีเครื่องมือครบ แต่บางครั้งขาดความเป็นเถ้าแก่ ความดื้อ ความกล้า และความอดทนแบบคนรุ่นก่อน

     กวางยกตัวอย่างว่า หลายคนที่เคยเป็นผู้บริหารมืออาชีพระดับสูง ลาออกมาเริ่มธุรกิจของตัวเองกลับติดขัด เพราะขาดความบ้าและไฟแบบเถ้าแก่รุ่นก่อน แต่เมื่อทั้งสองรุ่นมาผสานกัน ธุรกิจจะเกิดความสมดุลและแข็งแรง

     นี่คือเหตุผลที่กวางเริ่มซีรีส์ใหม่ในเพจ ทำที่บ้าน ชื่อ “รุ่นก่อนสอนว่า” เพื่อเรียนรู้วิสดอมจากคนรุ่นก่อน สิ่งที่พวกเขาแบ่งปันไม่ใช่แค่เรื่องเล่า แต่เป็นเคล็ดลับล้ำค่าที่ช่วยลดระยะเวลาเรียนรู้และลองผิดลองถูกของคนรุ่นหลังได้หลายปี”

     นี่คือมุมมองที่กลั่นกรองจากบทเรียนนับร้อย เพื่อส่งต่อ 'ศิลปะ' การสืบทอดที่แท้จริง ให้ธุรกิจครอบครัวไทยก้าวข้ามวัฏจักรแห่งความล้มเหลว

www.smethailandclub.com
ศูนย์รวมข้อมูลธุรกิจเอสเอ็มอี

RECCOMMEND: ENTREPRENEUR

ทิ้งเก้าอี้ผู้บริหารบริษัทระดับโลก มาปั้นแบรนด์บะหมี่ขาย เดือนละ 60 ตู้คอนเทนเนอร์!

ได้ขึ้นแท่นตำแหน่งสูง งานดี เงินดี น้อยคนนักที่จะคิดอยากลงมาเริ่มต้นใหม่ แต่อาจไม่ใช่กับ ยัง ชาง หนุ่มไต้หวันที่ตัดสินใจละทิ้งทุกอย่าง เพื่อออกมาเป็นผู้ประกอบการปั้นแบรนด์บะหมี่ของตัวเองขาย

ส่งไม้ต่อจากรุ่นสู่รุ่น “ไชยแสง” โมเดิร์นเทรดตำนานเมืองสิงห์ ทำอย่างไรจึงยืนหยัดนานกว่า 30 ปี

เมื่อทายาทรุ่นใหม่เข้ามาสานต่อกิจการ ไม่ได้เพียงรับช่วงต่อ แต่ยังรับเอาหัวใจของธุรกิจ คือความเข้าใจผู้คนในท้องถิ่น และกล้าที่จะปรับเปลี่ยน จึงทำให้ธุรกิจไม่เพียงอยู่รอด แต่ยังเติบโตอย่างต่อเนื่อง เช่นเดียวกับ “ห้างไชยแสง” สิงห์บุรี

SME ต้องรู้!!! 5 เทรนด์ Up Coming ปี 2026 รู้ก่อน เท่ากับ โอกาส

ปี 2026 สิ่งที่ SME ไทยต้องโฟกัสคือการนำเทรนด์ใหม่ๆ ไม่จำเป็นต้องวิ่งตามทุกอย่าง แต่ต้องเลือกสิ่งที่เหมาะกับปัญหาและเป้าหมาย และเทรนด์ทั้ง 5 นี้ คือ “เข็มทิศ” ที่จะช่วยให้ SME ไทยเตรียมรับมือและพลิกเกมธุรกิจได้อย่างชาญฉลาดในปี 2026