Kapuka Upcycling Studio  เปลี่ยนขากางเกงยีนส์มือสองเหลือทิ้ง เป็นวัสดุทำเสื้อผ้า & สินค้า ลดขยะแฟชั่นโลก

Text: VaViz

Photo: Kapuka Upcycling Studio


      ลองคิดดูว่า ผู้คนทั่วโลกล้วนใส่กางเกงยีนส์ แถมยังมียีนส์ที่ผลิตใหม่ขึ้นมาทุกวัน ถ้าคนมีพฤติกรรมใส่แล้วทิ้ง จะก่อให้เกิดขยะต่อโลกมากสักแค่ไหน? คำถามที่ไม่ต้องหลับตาคิด แต่มาให้เห็นเป็นภาพแบบจับต้องได้ของ วรรณี คนแรงดี ผู้คลุกคลีอยู่ในวงการกางเกงยีนส์มือสองมาเกือบ 20 ปี ก่อนที่จะตัดสินใจก่อตั้ง Kapuka Upcycling Studio แบรนด์แฟชั่นเสื้อผ้า ที่ทุกชิ้นงานล้วนมาจากการใช้ขากางเกงยีนส์มือสองเหลือทิ้ง!!

     “เราขายกางเกงยีนส์มือสองก็ช่วยโลกได้แล้วส่วนหนึ่ง เพราะอย่างน้อยก็ได้นำของกลับมาใช้

     แล้วถ้าต่อยอดไม่ให้เหลือเป็นของที่เหลือทิ้งมากจนเกินไปก็จะยิ่งทำให้ดีมากขึ้นไปอีก”

อย่าปล่อย “ขาที่ถูกตัดทิ้ง” ให้เปล่าประโยชน์

“เราไม่อยากเป็นส่วนหนึ่งที่เห็นของเหลือตรงนี้ แล้วมองมันเป็นขยะ

เรารู้สึกว่ามันควรได้ไปต่อ นั่นเพราะมันไม่ใช่ขยะ แต่เป็นความสวยงามในสายตาเรา”

     ก่อนหน้าที่จะผุดแบรนด์น้องใหม่อย่าง Kapuka Upcycling Studio ขึ้นมานั้น สาวผู้อินกับปัญหาภาวะโลกร้อนและสภาพอากาศแปรปรวน (Climate Change) ผู้นี้ เป็นคนหนึ่งที่คว่ำหวอดอยู่ในธุรกิจกางเกงยีนส์มือสอง โดยทำการส่งออกไปยังต่างประเทศ โดยเฉพาะในยุโรป

     “เราส่งออกกางเกงยีนส์ Secondhand ให้ลูกค้า ทั้งแบบขาสั้นและขายาว แต่เวลาที่ลูกค้าออร์เดอร์แบบขาสั้นมา เราจะต้องตัดขาและซักฟอกใหม่ให้เขา ซึ่งจะทำให้มีผ้าเหลือจากการทำงานตรงนี้เป็นจำนวนมาก ด้วยความที่ยีนส์มือสองที่เราทำนั้นเป็นของแบรนด์เนม ซึ่งทำมาจากผ้าคอตตอนที่มีคุณภาพสูง จะทิ้งไปก็น่าเสียดาย จึงคิดว่าแทนที่จะทำให้เป็นขยะ เราควรนำกลับมาให้ใช้งานได้อีก”

     แต่ก่อนที่แบรนด์จะเป็นรูปเป็นร่าง วรรณี ได้ลองชิมลางทำการรับผลิตแล้วส่งออกเสื้อผ้า Upcycling จากขากางเกงยีนส์มือสองให้กับลูกค้าในยุโรปดูก่อน จนตกตะกอนได้ว่า “ถ้าไม่ทำแบรนด์เป็นของตัวเอง วันหนึ่งข้างหน้าหากเกิดอะไรขึ้น เราอาจจะอยู่ด้วยตัวเองไม่ได้” นำมาสู่การทำ Kapuka Upcycling Studio ที่วันนี้มีอายุได้ราว 2 ปีนั่นเอง

ต่อขา เติมดีไซน์...ผลิตสินค้าที่มีความหมายให้โลก

“เสื้อผ้าทุกชิ้น สินค้าทุกอย่างของเรา ล้วนทำมาจากขากางเกงยีนส์มือสอง

เราอาจจะไม่ได้เปลี่ยนแปลงโลก แต่ก็อยากเป็นส่วนหนึ่งเล็กๆ ที่ได้ช่วยลดขยะ”

     แน่นอนว่า สิ่งที่ทำให้แบรนด์แตกต่างจากผู้เล่นอื่นๆ คือการนำขากางเกงยีนส์มือสองมา Upcycling เป็นเสื้อผ้า เครื่องแต่งกาย กระเป๋า และ Accessory ต่างๆ ที่ต้องบอกว่า จุดเด่นนี้นอกจากจะสร้างแต้มต่อแล้ว ยังเรียกว่าเป็นความท้าท้ายอีกด้วย

     “เรานำผ้าส่วนนี้มา Upcycling เป็นสินค้าใหม่ โดยนำมา Match กับวัสดุที่คิดว่าเข้ากันได้ รวมถึงใช้ Material ที่หามาเพิ่มเติมได้ในเมืองไทยมาทำให้สินค้ามีเอกลักษณ์มากขึ้น ซึ่งต้องบอกว่าผ้าที่เรานำมาใช้นั้นค่อนข้างคอนโทรลยาก บางครั้งต้องใช้เครื่องจักรหรือจักรเย็บผ้าที่มีความเฉพาะ เพราะว่าจักรปกติอาจจะไม่สะดวกที่จะเอามาเย็บผ้านี้ นับว่าเป็นความยากสุดท้าทายของแบรนด์ก็ว่าได้”

     อย่างไรก็ตาม Challenge นี้ก็ไม่ได้ทำให้ความสนุกอย่างการ Patchwork ผ้า หรือการตัดเย็บผ้าแบบปะติดปะต่อกันของแต่ละโปรดักต์นั้นลดน้อยลงไป

     “ด้วยความที่เป็นงานคราฟต์ ซึ่งแต่ละชิ้นงานจะมี Patchwork หรือการวางผ้าที่แตกต่างกัน เนื่องจากตัววัตถุดิบที่เราได้มานั้นมีความแตกต่างและหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของความหนา สี หรืออื่นๆ ดังนั้น เราจึงต้องมีความเข้าใจในวัสดุหรือผ้าก่อนว่า ผ้าประเภทนี้เป็นอย่างไร เช่น ปลายย้วยไหม จะจับอย่างไรให้อยู่ หรือพับแบบไหนได้หรือไม่ได้ รวมถึงใช้ทำอะไรได้ และควรเอาไปวางไว้ในตำแหน่งไหน”

ต้องใส่ได้...จนกลายเป็นขาประจำ(วัน)

“จะใส่แล้วสวยไหม จะใส่แล้ว Cool ไหม ขึ้นอยู่กับว่าคุณดีไซน์มันอย่างไร

ไม่ได้อยู่ที่ว่า วัสดุตัวนี้มันเคยผ่านการใช้งานมาก่อนหรือเปล่า”

     ถ้าลูกค้าซื้อไปแล้วใส่ครั้งเดียว นั่นก็ไม่ต่างจากการทำเสื้อผ้าแบบ Fast Fashion ที่สร้างขยะให้โลก ดังนั้น สิ่งที่เจ้าของแบรนด์รายนี้คำนึงเสมอในการดีไซน์งานแต่ละชิ้นคือ การออกแบบให้สินค้าสามารถใส่ในชีวิตประจำวันได้จริงและ ใช้งานได้บ่อยๆ

    “สินค้าทุกอย่างเวลาที่เราทำ เราจะคำนึงถึงการใช้สอยของลูกค้าเป็นหลักว่า เขาซื้อไปแล้วจะต้องใช้ แล้วใช้บ่อยๆ ด้วย ซึ่งเป็นเรื่องที่เราให้ความสำคัญมาก เพราะไม่อยากให้ใครซื้อของเราแล้วเอาไปวางแปะไว้ เราอยากให้ลูกค้าซื้อไปแล้วใช้ได้นานๆ ใช้ได้ตลอด ใช้ได้ทุกวัน ดังนั้น สไตล์เสื้อผ้าของเราจึงเป็นแบบ Everyday Look ใส่ง่าย ใส่สบาย ใส่ได้ทุกโอกาส ไม่ได้เน้นแฟชั่นแบบจ๋าๆ”

     ด้วยความที่ลูกค้าหลักยังคงเป็นต่างชาติถึง 90% แบรนด์จึงตั้งเป้าหมายในการเจาะตลาดคนไทยให้มากขึ้น โดยจะใช้การออกงานแฟร์เป็นกลยุทธ์หลัก พร้อมการใช้โซเชียลมีเดียเป็นช่องทางเข้าถึงผู้บริโภครุ่นใหม่ให้มากขึ้น

     “เดี๋ยวนี้คนรุ่นใหม่มีความใส่ใจเรื่องสิ่งแวดล้อมมากขึ้น เข้าใจเหตุผลมากขึ้นว่า ทำไมถึงมีสินค้าพวกนี้ขึ้นมา และมีการยอมรับเรื่องโปรดักต์ที่เป็น Upcycling มากขึ้น ดังนั้น เพื่อจะเข้าถึงคนไทยให้มากขึ้น การออกบูธจึงเป็นโอกาสที่ดี โดยเป็นพื้นที่ที่จะต้องไปให้คนเห็นว่าเราทำอะไร เราจะได้รู้ว่าเขาชอบไหม ซึ่งทุกคำวิจารณ์ของเขามีประโยชน์กับเราว่า เรามาถูกทางแล้วหรือยัง”  

ขาขึ้น...ตลาดรักษ์โลก  

“แฟชั่นของกางเกงยีนส์มันเป็น Cycle

วันนี้ดูไม่สวย แต่อีก 5 ปี มันอาจจะสวยก็ได้

ถือเป็นวงการแห่งการวนลูป เพราะฉะนั้น ธุรกิจ(มือสอง)ตรงนี้มันจะอยู่ไปชั่วฟ้าดินสลาย”

     การจะแข่งขันได้ในตลาดสีเขียวที่นับวันยิ่งทวีความดุเดือดมากขึ้นนั้น ผู้ก่อตั้งแบรนด์มากประสบการณ์คนนี้ให้แนวทางว่า ต้องตั้งเป้าหมายและรู้วิธีว่า จะทำอย่างไรให้เราเข้าไปสู่ตลาดได้ ทำอย่างไรให้คนอยากใช้โปรดักต์ของเรา เข้าใจในสิ่งที่เราทำ และสนับสนุนสินค้าที่เราทำ โดยไม่ใช่แค่ให้เขามาเสียเงินให้เฉยๆ  

     “เรามองถึงความคุ้มค่าและความสวยงามของโปรดักต์ที่ลูกค้าจะได้รับจากเรา เราอยากให้ลูกค้าทุกคนที่ซื้อสินค้าไปรู้สึกดีว่า อย่างน้อยๆ เขาก็ได้ช่วยโลกใบนี้ ถึงแม้ว่าจะเป็นเพียงแค่เรื่องเล็กๆ น้อยๆ แต่อย่างน้อยก็ได้เป็นส่วนร่วมเล็กๆ อันหนึ่งก็ยังดี อย่างไรก็ตาม มีอยู่หลายวิธีที่จะช่วยโลกได้ ซึ่งอาจจะไม่จำเป็นต้องซื้อสินค้า Upcycling อาจจะเป็นการไม่รับถุงพลาสติกสักใบ หรือเอากางเกงยีนส์ตัวเก่ามาทำให้เกิดประโยชน์และใช้งานได้อีกครั้ง”

     ทั้งนี้ ตลาดยีนส์มือสองเป็นสิ่งที่ วรรณี คาดว่าจะคงอยู่ตลอดไป เนื่องจากมีการผลิตยีนส์ใหม่ออกมาตลอดเวลา ซึ่งมีข้อดีอย่างหนึ่งคือ ผ้ายีนส์เป็นคอตตอนที่ทอมาเส้นใหญ่ เพราะฉะนั้น จึงมีความทนทานและสามารถอยู่ได้นาน แม้จะผ่านกาลเวลาเป็นสิบๆ ปี โดยที่บางตัวอยู่ได้เป็นร้อยปีก็มี

    “อะไรที่นำกลับมาใช้ได้ ควรนำกลับมาใช้ เพราะว่ามุมมองในการซื้อสินค้าของคนมันเปลี่ยนไปแล้ว คนไม่ได้รังเกียจของ Secondhand แบบเมื่อก่อนแล้ว เพราะทุกคนตระหนักและเห็นคุณค่าว่า ถ้ายังมีประโยชน์และใช้ได้ก็ควรนำกลับมาใช้จะดีกว่าปล่อยทิ้งไปให้เป็นขยะ”

     เป็นอีกแบรนด์ที่กำลังมุ่งมั่นเดินหน้าช่วยลดขยะให้โลกอย่างจริงจัง ผ่านการนำกลับมาใช้ เพิ่มคุณค่า และสร้างความตระหนักให้ผู้คนได้เห็นว่า ของเหลือทิ้งไม่จำเป็นต้องกลายเป็นขยะที่มีไว้แค่ให้ถูกฝังกลบเท่านั้น

 

www.smethailandclub.com
ศูนย์รวมข้อมูลธุรกิจเอสเอ็มอี

RECCOMMEND: ENTREPRENEUR

ขายดีจนต้องจำกัดการซื้อ! LoafyCo Bakery ขายขนม 2,000 ชิ้นต่อวัน เพราะคนต่อคิวซื้อไม่หยุด

ไม่ง่ายเลยที่ร้านเบเกอรี่เล็กๆ ย่านชานเมืองจะมีคิวแน่นหน้าร้านทุกวัน จนต้องจำกัดจำนวนการซื้อ แต่ LoafyCo Bakery House คือข้อยกเว้นนั้น จากจุดเริ่มต้นเล็กๆ สู่ยอดขายวันละ 1,000-2,000 ชิ้น และรายได้ 4 ล้านต่อเดือน..ทำได้อย่างไร?

“แหนมวาสนา” จากรสมือแม่..สู่แบรนด์อาหารอีสาน ที่มุ่งมั่นพัฒนาส่งต่อวัฒนธรรมอาหารอีสานสู่ครัวโลก

ในทุกคำของแหนมวาสนา ไม่ได้มีแค่รสเปรี้ยวกลมกล่อมของอาหารอีสาน แต่ยังเต็มไปด้วยความรักและความตั้งใจของครอบครัว ที่ส่งต่อจากรุ่นแม่สู่รุ่นลูก นิชา-ณัฐธีรยา ชัยวิสิทธิ์  ที่พลิกโฉมแหนมวาสนาให้กลายเป็นแบรนด์อาหารพื้นถิ่นที่ก้าวสู่เวทีระดับโลก