Text: VaViz
ไม่อยากรู้ว่าการเงินติดลบก็เมินมันไปซะเลย จะได้ไม่เครียด! นับเป็นนิสัยที่จะพา SME จนไม่พอ แต่ยังถึงขั้นเจ๊งได้เลย...รู้ไหมว่า เจ้าของธุรกิจจำนวนไม่น้อยเลือกที่จะหลีกเลี่ยง ไม่ดูบัญชีรายรับ-รายจ่าย ไม่ตรวจสอบกระแสเงินสด หรือแม้แต่ไม่สนใจสถานะหนี้สินของกิจการ เพียงเพราะกลัวว่าจะต้องเผชิญกับ “ข่าวร้าย” ที่ไม่อยากรู้
พฤติกรรมนี้เรียกว่า “The Ostrich Effect” หรือ “พฤติกรรมปิดหูปิดตาทางการเงิน” ซึ่งเปรียบเสมือนนกกระจอกเทศที่ว่ากันว่าชอบมุดหัวลงดิน เพื่อหนีภัยหรือหลีกเลี่ยงอันตราย (แม้ในความเป็นจริงจะไม่ใช่อย่างนั้นก็ตาม) ถึงแม้ว่าพฤติกรรมนี้อาจจะทำให้เจ้าของธุรกิจรู้สึกสบายใจในระยะสั้น แต่หากปล่อยไว้โดยไม่จัดการก็อาจกลายเป็นภัยเงียบที่ค่อยๆ บ่อนทำลายกิจการลงได้อย่างไม่รู้ตัว
รู้จัก…นกกระจอกเทศทางการเงินตัวนั้น!
พฤติกรรมปิดหูปิดตาทางการเงิน หรือที่เรียกว่า The Ostrich Effect นั้น คือแนวโน้มทางจิตวิทยาที่บุคคลจะหลีกเลี่ยงข้อมูลด้านลบหรือข้อมูลที่ไม่สบายใจเกี่ยวกับการเงินของตัวเอง ซึ่งหากจะพูดถึงในบริบทของ SME อาจกล่าวได้ว่า
คือพฤติกรรมที่เจ้าของธุรกิจเลี่ยงที่จะตรวจสอบหรือเผชิญหน้ากับข้อมูลการเงินที่ไม่ดี เพราะกลัวจะต้องรับรู้ความจริง เช่น
- ไม่ตรวจงบกำไร-ขาดทุนรายเดือน / รายงานทางการเงินรายเดือน
- ไม่กล้าดูยอดขาดทุนสะสมหรือหนี้สิน
- ไม่สนใจยอดหนี้คงค้างจากลูกค้า
- เลี่ยงการวางแผนกระแสเงินสด เพราะกลัวเจอ “ข่าวร้าย”
- ไม่ยอมเช็กยอดบัญชี เครดิตของกิจการ รายงานภาษี หรือสถานะบัญชีธนาคาร
- ไม่วิเคราะห์ความคุ้มทุนของโปรเจกต์หรือแคมเปญใหม่
โดยพฤติกรรมเหล่านี้อาจจะช่วยทำให้เจ้าของกิจการ “รู้สึกสบายใจได้ชั่วคราว” แต่ในระยะยาวกลับทำให้ธุรกิจต้องเสี่ยงสูงขึ้น ซึ่งถ้าถามว่า แล้วอะไรคือสาเหตุก็ต้องบอกว่า อาจเป็นเพราะความกลัวและความเครียดจากการเผชิญหน้าความจริงทางการเงิน ความเหนื่อยล้าที่สะสมจากการบริหารงานประจำวันจนไม่อยากรับรู้อะไร หรือเป็นการหลีกเลี่ยงทางจิตใจ ซึ่งถือว่าเป็นกลไกป้องกันตัวเองอย่างหนึ่ง ไปจนถึงมีความเชื่อว่า การไม่รู้จะทำให้สบายใจกว่า แม้ในระยะยาวจะยิ่งแย่ก็ตาม
|
Checklist 3 พฤติกรรมเข้าข่าย “The Ostrich Effect” - หลีกเลี่ยงการตรวจสอบสถานะทางการเงิน ไม่ยอมดูงบการเงิน รายงานผลประกอบการ หรือรายงานกระแสเงินสด โดยเฉพาะในช่วงที่ธุรกิจประสบปัญหา - เพิกเฉยต่อสัญญาณเตือน ละเลยสัญญาณอันตรายทางการเงิน เช่น การใช้จ่ายเกินตัว, หนี้สินที่เพิ่มขึ้น, หรือยอดขายที่ลดลง ให้ความสนใจเฉพาะข้อมูลเชิงบวก สนใจเฉพาะตัวเลขที่แสดงถึงความสำเร็จ แต่เมินเฉยตัวเลขที่แสดงถึงความล้มเหลว |
7 Crisis ยิ่งหลับตาปี๋ ธุรกิจยิ่งทรุด
แน่นอนว่า การไม่เห็นปัญหาเท่ากับปัญหาไม่เกิดขึ้นนั้นไม่เป็นความจริง โดยเฉพาะยิ่งปิดหูปิดตามากเท่าไร ยิ่งพาธุรกิจให้ตกอยู่ในสถานการณ์ลำบากมากเท่านั้น
Crisis ที่ 1: ขาดการควบคุมต้นทุน เมื่อไม่ตรวจสอบรายจ่ายอย่างสม่ำเสมอ ต้นทุนที่ไม่จำเป็นหรือซ้ำซ้อนอาจสะสมจนกลายเป็นภาระ สุดท้ายอาจกลายเป็นหนี้ท่วมหัว โดยไม่รู้ว่าเกิดจากอะไร เพราะไม่เคยติดตามบัญชี
Crisis ที่ 2: การเงินขาดสภาพคล่อง นอกจากนี้ การไม่วางแผนกระแสเงินสดล่วงหน้า อาจทำให้ธุรกิจไม่มีเงินจ่ายซัพพลายเออร์หรือพนักงานในช่วงวิกฤต เพราะเงินขาดมือแบบไม่ทันตั้งตัว
Crisis ที่ 3: ตัดสินใจผิดพลาด การไม่มีข้อมูลที่เพียงพออาจทำให้เจ้าของกิจการขยายธุรกิจแบบผิดจังหวะ หรือลงทุนในสิ่งที่ไม่มีความคุ้มค่า พูดง่ายๆ ว่า การขาดข้อมูลทางการเงินที่ครบถ้วน จะทำให้การตัดสินใจทางธุรกิจบิดเบือนไปจากความเป็นจริง เช่น ไปลงทุนเพิ่มโดยไม่ประเมินความเสี่ยงอย่างรอบด้าน
Crisis ที่ 4: เสียโอกาสเข้าถึงแหล่งเงินทุน อย่างที่รู้กันดีว่า สถาบันการเงินต้องการเห็นงบการเงินที่ชัดเจนก่อนพิจารณาให้กู้ ดังนั้น หาก SME ไม่มีข้อมูลตรงนี้ อาจทำให้พลาดโอกาสสำคัญได้ เพราะไม่ได้เตรียมงบการเงินหรือเอกสารให้พร้อม
Crisis ที่ 5: สูญเสียความน่าเชื่อถือ ปัญหาทางการเงินที่ไม่ได้รับการจัดการ อาจส่งผลกระทบต่อคู่ค้าหรือซัพพลายเออร์และลูกค้าในที่สุด เช่น จากการจ่ายเงินที่ล่าช้า
Crisis ที่ 6: แก้ปัญหาได้ไม่ทันท่วงที การไม่ยอมรับรู้ปัญหาตั้งแต่เนิ่นๆ จะทำให้ธุรกิจพลาดโอกาสในการแก้ไขสถานการณ์หรือจำกัดความเสียหายที่เกิดขึ้นได้ เพราะฉะนั้น การปิดหูปิดตาจึงไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้น แต่เป็นการหนีปัญหาเพียงชั่วคราว แถมยังทำให้พลาดโอกาสทองที่จะพลิกเกมได้อีกด้วย
Crisis ที่ 7: สภาพจิตใจย่ำแย่ นอกจากสภาพการเงินในกระเป๋าจะแย่แล้ว สภาพจิตใจของเจ้าของกิจการก็แย่ไม่แพ้กัน เพราะต้องเผชิญกับทั้งความเครียดและความกังวลที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งจะส่งผลต่อการบริหารธุรกิจ
6 วิธีดูแลการเงิน ให้เหมือน The Ostrich ดูแลไข่
รู้หรือไม่? ที่นกกระจอกเทศเอาหัวมุดลงไปในดินทรายนั้น ไม่ได้ทำเพราะกลัวหรือแอบนักล่าอย่างที่คิด แต่นี่คือพฤติกรรมในการดูแลไข่ของพวกมันต่างหาก โดยจะทำการขุดโพรงตื้นๆ เพื่อวางไข่ และจะมุดหัวเข้าไปในโพรง เพื่อพลิกไข่เป็นครั้งคราว
และจากการที่นกกระจอกเทศชอบตรวจสอบและมุดหัวเข้าไปในโพรงหลายครั้งต่อวัน เพื่อเช็กว่าไข่ยังอยู่ดีไหมนี่แหละ ที่เราสามารถหยิบมาแก้ไขพฤติกรรมทางการเงินแบบผิดๆ ได้ ดังนี้
- เผชิญหน้ากับความจริง การรับรู้สถานะการเงินอย่างสม่ำเสมอ ทั้งด้านบวกและด้านลบ จะช่วยให้สามารถวางแผนและจัดการได้อย่างเหมาะสม
- มีระบบการเงินที่เข้าใจง่าย ไม่จำเป็นต้องเก่งหรือเป็นนักบัญชี แต่ SME ควรมีระบบที่ทำให้เข้าใจการเงินของธุรกิจได้ชัดเจน เช่น ใช้โปรแกรมบัญชีออนไลน์ที่แสดงกราฟรายรับรายจ่าย หรือขอสรุปจากนักบัญชีในรูปแบบที่อ่านง่าย
- ตรวจสอบข้อมูลการเงินอย่างสม่ำเสมอ เรื่องที่ต้องชัดเจนถัดมาคือ ต้องมีการกำหนดว่าจะเช็กเรื่องการเงินเมื่อไรบ้าง เช่น ตรวจรายรับ-รายจ่ายประจำสัปดาห์ ตรวจงบกำไรขาดทุนรายเดือน หรือวิเคราะห์กระแสเงินสดทุกไตรมาส การทำสิ่งเหล่านี้ให้เป็นนิสัยจะช่วยลดความกลัว และเพิ่มความมั่นใจในการบริหารจัดการทางการเงินได้
- มีที่ปรึกษาหรือทีมการเงินที่ไว้ใจได้ หากไม่มีเวลาหรือขาดความชำนาญด้านบัญชีการเงิน การมีนักบัญชีหรือที่ปรึกษาทางการเงินที่เชื่อถือได้ จะช่วยให้ SME ได้รับข้อมูลสำคัญโดยที่ไม่ต้องทำเองทั้งหมด
- ปรับมุมคิด ใช้ข้อมูลเพื่อการวางแผน ไม่ใช่เพื่อลงโทษตัวเอง เปลี่ยนมุมมองใหม่ว่า ข้อมูลทางการเงินไม่ใช่ “ศัตรู” แต่เป็น “เครื่องมือ” ที่จะช่วยให้ธุรกิจตัดสินใจได้ดีขึ้น ที่สำคัญอย่ากลัวที่จะเห็นความผิดพลาด นั่นเพราะทุกความผิดพลาดคือบทเรียน ลองมองว่าข้อมูลเชิงลบนั้นเป็นโอกาสในการเรียนรู้และพัฒนาธุรกิจ แทนที่จะมองว่าเป็นเรื่องที่ต้องหลีกหนี
- ไม่ต้องรีบร้อน เริ่มเล็กๆ ก่อน แล้วค่อยปรับขยาย ไม่จำเป็นต้องปรับทุกอย่างทันที โดยอาจจะเริ่มจากการตรวจสอบยอดรายรับ-รายจ่ายประจำสัปดาห์ก่อน แล้วค่อยขยับไปที่การวิเคราะห์กำไรสุทธิ กระแสเงินสด และการตั้งงบประมาณในขั้นถัดไป
แม้ว่า The Ostrich Effect จะเป็นพฤติกรรมที่เกิดขึ้นได้กับทุกคน ไม่ว่าจะเป็นผู้ประกอบการหน้าใหม่ หรือเจ้าของกิจการที่มีประสบการณ์แล้วก็ตาม แต่อย่าลืมว่า การไม่อยากเผชิญหน้ากับความจริงทางการเงินนั้น อาจให้ความรู้สึกปลอดภัยแค่ชั่วคราว แต่ในระยะยาวกลับเสี่ยงต่อการสูญเสียมากกว่า
ดังนั้น การกล้าหันกลับมาดูข้อมูลการเงินของธุรกิจ จึงเป็นจุดเริ่มต้นของความมั่นคงทางการเงิน และการเติบโตอย่างยั่งยืน แต่ถ้าวันนี้ยังไม่กล้า ลองเริ่มต้นด้วยการถามตัวเองว่า “จะดีกว่าไหม? ถ้าเรารู้ข้อมูลทางการเงินเหล่านี้ตอนนี้ ไม่ใช่มารู้ตอนที่สายเกินไปและเกินแก้”
เพราะฉะนั้น จงเลือกที่จะ “เปิดตา” แทนที่จะ “หลับตา” แล้วธุรกิจของคุณจะเดินไปข้างหน้าอย่างมีทิศทางและมั่นคงมากขึ้น
www.smethailandclub.com
ศูนย์รวมข้อมูลธุรกิจเอสเอ็มอี