เก่งแล้วไง! จุดบอดของคนเก่งที่องค์กรต้องรู้ก่อนเลือกพนักงาน

TEXT: อภิวุฒิ พิมลแสงสุริยา






Main Idea
 
  • เวลาที่องค์กรต่างๆ เลือกรับพนักงานจบใหม่ หลายคนอาจดูจากเกรด เฟ้นหาพนักงานหัวกระทิที่ได้เกียรตินิยม โดยหวังว่า “คนเก่ง” เหล่านี้จะเข้ามาช่วยพัฒนาองค์กรให้ดีขึ้นได้
 
  • แต่ความจริงคนเก่งก็มีจุดบอดและข้อบกพร่องบางอย่าง ที่อาจทำให้คุณรู้สึกว่า เก่งไปก็เท่านั้นแหละ
 
  • เพราะในโลกของการทำงานที่แท้จริง มีอีกหลายปัจจัยที่ผลักดันให้พนักงานกลายเป็นคนเก่ง ไม่ใช่แค่เกรดเฉลี่ยเพียงอย่างเดียว คนที่เคยเก่งตอนเรียนอาจก้าวหน้าช้ากว่าคนที่เคยบ๊วยในห้องก็เป็นได้ มันเป็นเพราะอะไรกันนะ?





     บ่อยครั้งที่องค์กรจำนวนมาก ตัดสินใจรับเด็กจบใหม่ที่ไม่มีประสบการณ์เข้ามาทำงาน โดยดูจากคะแนนตอนเรียนหนังสือเป็นสำคัญ คัดเฉพาะเด็กที่เรียนดี มีเกรดเฉลี่ยสูง เป็นหัวกะทิของโรงเรียนหรือมหาวิทยาลัย ในขณะเดียวกัน ตัวเด็กเองก็มีความมั่นใจและภูมิใจในความสามารถของตัวเองด้วยเช่นกัน


     แต่พอเวลาผ่านไปได้ไม่กี่ปี เด็กเหล่านี้กลับพบว่า แม้ตนเองจะฉลาดและเรียนเก่งกว่าเพื่อนคนอื่นๆ แต่ความก้าวหน้าในหน้าที่การงาน กลับช้ากว่าบางคนที่เรียนไม่เก่งเสียด้วยซ้ำ


     เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น


     ลองพิจารณาข้อบกพร่องที่คนเก่งมักมองข้าม 5 อย่างต่อไปนี้ แล้วสังเกตตัวเองด้วยใจเป็นกลางว่า เป็นแบบนี้บ้างไหม?




     1. คนเก่งมักมองข้ามความสามารถด้านการสร้างสัมพันธ์กับคนอื่นๆ ไป-ความฉลาดเป็นเรื่องของไอคิว (Intelligent Quotient) ส่วนความสามารถด้านการสร้างสัมพันธ์ เป็นเรื่องของอีคิว (Emotional Quotient) คนเก่งจำนวนไม่น้อยคิดว่าการมีปฏิสัมพันธ์ที่ดีกับคนอื่น ไม่ใช่สิ่งจำเป็น เพียงแค่ทำหน้าที่ของตนให้สำเร็จลุล่วงได้ก็เพียงพอแล้ว 
แต่ในชีวิตจริง ความก้าวหน้าในหน้าที่การงาน ต้องอาศัยคนอื่นๆ ช่วยสนับสนุนด้วย อย่างน้อยที่สุดก็ต้องให้ นายดึง ลูกน้องดัน และเพื่อนร่วมงานสนับสนุน ถ้าจะไปคนเดียว รับรองไปได้ไม่ไกล


     สาเหตุหนึ่งที่ทำให้คนเก่งมักเป็นเช่นนี้ มาจากประสบการณ์ที่พวกเขามีในวัยเด็ก คนพวกนี้เติบโตมาพร้อมกับคำป้อยอของผู้ใหญ่ว่าเป็นเด็กฉลาด อนาคตไกล กอปรกับประสบการณ์ในการเรียนหนังสือที่สามารถทำคะแนนสอบได้ดี มีคนยกย่องสรรเสริญ เป็นที่รักและภูมิใจของทุกๆ คน จึงส่งผลให้จิตใจจดจ่ออยู่กับความฉลาดของตนเอง ความคิดแบบนี้ติดตัวมาจนถึงวัยทำงานด้วย


     วิธีแก้ไข : ใช้จุดแข็งที่มี เอาชนะจุดอ่อนของตนเอง เช่นหากเป็นคนเรียนรู้เร็ว ก็ให้ตั้งใจเรียนรู้ทักษะใหม่ๆ ที่ขาดหายไป ไม่จำเป็นต้องปรับเปลี่ยนบุคลิกทุกอย่างที่เป็นเพียงแค่รู้จักวางแผนและเปิดใจ โดยอาจเริ่มต้นจากการพิจารณาว่า พฤติกรรมใดจะช่วยพัฒนาเรื่องการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีได้บ้าง


     2. คนเก่งมักคิดว่าการทำงานเป็นทีม ชักช้าน่ารำคาญ-เมื่อคนคนหนึ่งสามารถเข้าใจทุกอย่างได้อย่างรวดเร็วและลงมือทำได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่ต้องมาพบกับใครอีกคนหรือหลายคนที่ต้องใช้เวลาในการทำความเข้าใจและลงมือทำ สิ่งที่ตามมาคือ ความหงุดหงิดรำคาญใจเป็นธรรมดา


     ความรู้สึกแบบนี้อาจเกิดขึ้นตั้งแต่สมัยวัยเด็ก เมื่อต้องทำงานกลุ่มร่วมกับคนอื่นๆ ที่อาจรู้สึกว่าฉลาดน้อยกว่าและชักช้าไม่ทันใจ สุดท้ายหลายคนจบลงด้วยการคว้างานกลุ่มกลับมาทำเองคนเดียว เพราะได้ดังใจและไม่ต้องเสียเวลา พฤติกรรมแบบนี้จึงติดตัวมา ทำให้คนเก่งหลายคนไม่อยากกระจายงานให้คนอื่นทำเพราะคิดว่าทำเองได้คุณภาพดีกว่า และนี่คือปัญหาใหญ่สำหรับคนที่ต้องการความสมบูรณ์แบบ


     วิธีแก้ไข : พยายามทำความเข้าใจกับความรู้สึกของตนเอง และทบทวนดูว่าความรู้สึกเหล่านั้นมาจากไหน ที่สำคัญเรียนรู้ที่จะนำความคิดเห็นที่แตกต่างของทีมมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด




     3. คนเก่งส่วนใหญ่ ไม่ยอมพึ่งพาหรือขอความช่วยเหลือจากผู้อื่น-การยึดติดกับความฉลาดมากเกินไป จะทำให้พยายามหลีกหนีจากสถานการณ์ที่ตนเองไม่รู้ เพราะรู้สึกว่า ความไม่รู้นั้นเป็นสิ่งที่รับไม่ได้ ในขณะเดียวกันก็จะไม่ยอมขอความช่วยเหลือจากผู้อื่น เพราะลึกๆ คิดว่าการขอความช่วยเหลือเป็นสัญลักษณ์แห่งการยอมแพ้ จึงดึงดันเพื่อจะพิสูจน์ว่า ฉันทำได้ ส่งผลให้เกิดความผิดพลาดหลายประการ และกระทบต่อความก้าวหน้าในอาชีพการงานด้วย


     วิธีแก้ไข : ตั้งเป้าหมายให้ตนเองในการเรียนรู้จากคนที่อาจเก่งกว่าในเรื่องอื่น พาตัวเองไปอยู่ท่ามกลางคนฉลาดด้วยกัน คนเหล่านั้นจะช่วยนำทางไปในทิศที่ถูกต้อง เหมือนคำโบราณว่า คบบัณฑิต บัณฑิตพาไปหาผล อย่าลืมว่าการจะเจียระไนเพชรให้สวยงามก็ต้องใช้เพชรด้วยกันในการเจียระไน จงพัฒนาความสัมพันธ์กับผู้ที่คิดว่าจะสามารถให้ข้อมูลป้อนกลับ (Feedback) ได้อย่างสร้างสรรค์ เปิดใจรับฟังและนำกลับมาพิจารณาทบทวน


     4. คนเก่งมักเบื่อง่าย-คนฉลาดมักช่างสงสัยและชอบเรียนรู้ ดังนั้น เมื่อทำอะไรซ้ำๆ ไปสักระยะก็อาจรู้สึกเบื่อหน่าย ไม่อยากทำต่อ บางคนเป็นเอามากขนาดคนรอบข้างรู้สึกว่าเป็นคนเหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ เริ่มทำอะไรไปสักพักก็เลิก เปลี่ยนไปทำอย่างอื่น


     หัวใจสำคัญของเรื่องนี้อยู่ที่ต้องทำความเข้าใจว่า ความสำเร็จบางอย่างอาจเกิดมาจากการได้ทดลองทำสิ่งใหม่ๆ ที่ได้คิดสร้างสรรค์ แต่ความสำเร็จหลายอย่าง เกิดจากการทำซ้ำๆ จนเกิดเป็นความชำนาญและกลายเป็นความเชี่ยวชาญในที่สุด


     วิธีแก้ไข : แทนที่จะหลีกหนีจากความน่าเบื่อเหล่านั้น จงใช้เวลาสั้นๆ กับความน่าเบื่อบางอย่างให้เต็มที่และสุดความสามารถ ลงมือทำจนเกิดความคล่องแคล่วเชี่ยวชาญ หลังจากนั้นถ้าจะเลิก ก็ไม่ว่ากัน




     5. คนเก่งมักคิดว่า แนวทางของตนคือหนทางสำเร็จในการแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น-คนเก่งมักประสบความสำเร็จในการแก้ปัญหาต่างๆ ในช่วงเวลาที่ผ่านมา ความสำเร็จนี้ค่อยๆ ทำให้ความมั่นใจในตนเองสูงขึ้นจนเกินขนาด กลายสภาพมาเป็นอัตตา (Ego) ที่ยากจะทุบทำลายทิ้งได้ เลยทำให้บ่อยครั้งคนเหล่านี้ มักมองข้ามแนวทางในการแก้ปัญหาที่อาจมีประสิทธิผลมากกว่าหรือข้อเสนอแนะดีๆ ไปอย่างน่าเสียดาย 


     วิธีแก้ไข : พยายามพูดและแสดงความคิดเห็นให้น้อยลง ถามและฟังให้มากขึ้น ข้อเสนอแนะหรือแนวทางในการแก้ปัญหาใดที่ไม่คุ้นเคยหรือคิดว่าอาจจะไม่ได้ผล แต่ถ้าไม่ได้ก่อให้เกิดความเสียหายร้ายแรง ถึงแม้จะเสียเวลาไปบ้าง ก็ลองทำดู ถือเป็นการเปิดโอกาสในการเรียนรู้ให้ตนเอง


     การเป็นคนเก่งและฉลาดนี่ว่ายากแล้ว แต่การเพิ่มความเก่งและความฉลาดให้มากขึ้น ด้วยการลดความยึดมั่นถือมั่นในตัวเองลง อันนี้ยิ่งยากกว่า 


     แต่ใช่ว่าจะทำไม่ได้...ลองดูครับ
 

www.smethailandclub.com
ศูนย์รวมข้อมูลธุรกิจเอสเอ็มอี
 


 

RECCOMMEND: MANAGEMENT

พลังของ Introvert ! ศักยภาพเงียบที่ธุรกิจไม่ควรมองข้าม

Introvert ไม่ได้แค่ “อยู่เงียบๆ” แต่คือพลังสำคัญในโลกการทำงาน ทั้งคิดลึก ฟังเก่ง สร้างสรรค์ และนิ่งภายใต้แรงกดดัน มาดูกันว่าทำไมธุรกิจถึงไม่ควรมองข้ามพลังเงียบนี้

Quiet cracking เทรนด์ใหม่มนุษย์เงินเดือน เมื่อคนเก่งเริ่มหมดใจกับงานที่รัก

Quiet Cracking อาการแตกสลายแบบเงียบๆ ของคนรักงาน ที่ยังชื่นชอบในงานที่ทำอยู่ แต่เริ่มไปต่อไม่ไหว จากงานที่หนักเกินไป ทำเท่าไหร่ก็ไม่พอ เมื่อคนรักงาน หมดใจกับงานที่ทำอยู่ เราจะเยียวยาพวกเขายังไงดี อะไร คือต้นตอสาเหตุ ไปหาคำตอบกัน

Pet Friendly Workplace สูตรลับรักษาคนเก่ง ขององค์กรยุคใหม่

เมื่อก่อนใครพูดว่า “อยากพาน้องหมาน้องแมวมาทำงานด้วย” อาจโดนมองว่าแปลก แต่เดี๋ยวนี้ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ แล้ว เพราะหลายองค์กรทั่วโลกหันมาจริงจังกับ Pet Friendly Workplace ซึ่งช่วยลดอัตราการลาออก และรักษาคนเก่งให้อยู่ในองค์กร