5 วิธีดูแลใจพนักงานในช่วงวิกฤต เจ้าของธุรกิจ ทำแล้วได้ใจลูกน้อง



         เจ้าของธุรกิจไม่ได้มีความรับผิดชอบแค่เรื่องการทำให้บริษัทมีกำไรเท่านั้น แต่ยังต้องเป็นผู้นำที่ดูแลทีมงานโดยเฉพาะในช่วงวิกฤตที่ยากลำบากและไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนแบบนี้ พนักงานในบริษัทต้องการการสนับสนุนเพื่อให้พวกเขาไม่เพียงแค่ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่ยังต้องรับมือกับความเครียดและความวิตกกังวลที่เพิ่มขึ้นจากโควิด-19 ด้วย


        จากผลสำรวจของ Qualtrics และ SAP พบว่าการที่ต้องทำงานติดบ้านนานเป็นปี ไม่ค่อยได้คุยเล่นกับเพื่อนร่วมงาน หรือออกไปกินไปเที่ยวแบบแต่ก่อนนั้น ส่งผลต่อสุขภาพจิตอย่างมีนัยสำคัญ
 

         • 75% รู้สึกเหงาและโดดเดี่ยวเพิ่มมากขึ้น


         • 67% รู้สึกเครียดกับเนื้องานและปัญหาจากงานที่ต้องหาทางแก้ไขด้วยตัวเอง


        • 57% รู้สึกกังวลกับภาระที่เพิ่มขึ้น เช่น รายได้ลดลง มีหนี้สิน หรือต้องจัดเวลามาดูแลคนในครอบครัวพร้อมกับทำงานไปด้วย



 
               
         นี่คือ 5 ประเด็นที่เจ้าของธุรกิจต้องให้ความสำคัญ เพื่อดูแลชุบชูจิตใจพนักงานในช่วงโควิด
 

  1. ให้ความสำคัญกับความเป็นอยู่ที่ดีของพนักงาน

 

           ไม่ว่าจะมีพนักงานกี่คนที่ยังคงเข้ามาทำงานที่ออฟฟิศ หรืออีกกี่คนที่ต้องทำงานที่บ้าน สิ่งสำคัญคือต้องช่วยรักษาสุขภาพร่างกายและจิตใจของพวกเขา


          เริ่มจากการช่วยป้องกันการแพร่กระจายของไวรัส เช่น ตรวจสุขภาพทุกวัน มีมาตรการเว้นระยะห่างทางสังคมและสวมหน้ากาก ไปจนถึงปรับปรุงระบบระบายอากาศในอาคาร นอกจากนี้ควรสำรวจการลาป่วยด้วยความยืดหยุ่นมากขึ้น และเตรียมแผนฉุกเฉินหากมีพนักงานป่วยขึ้นมา


          อย่าลืมแนะนำให้พนักงานเคลื่อนไหวร่างกายอยู่เสมอ เพราะจะช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกัน ลดความเครียด และเพิ่มพลังงาน ให้พวกเขาออกไปเดินเล่น ขี่จักรยาน ออกกำลังกายที่บ้าน กินอาหารที่มีประโยชน์และนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ


          ที่สำคัญ อย่ามองข้ามสุขภาพจิตของพวกเขา นอกเหนือจากความเหงา โดดเดี่ยวที่หลายคนรู้สึกเมื่อต้องทำงานคนเดียว โรคระบาดยังส่งผลกระทบร้ายแรงต่อสุขภาพใจ ดังนั้น ควรตรวจสอบสมาชิกในทีมอยู่บ่อยๆ ว่าพวกเขาเป็นอย่างไรบ้าง รับฟังข้อกังวลใจ และไถ่ถามเกี่ยวกับภาระงานที่พวกเขามีอยู่ อาจจะต้องลดปริมาณงานลงเพื่อให้มีเวลามากขึ้นในการดูแลตนเอง


         สุดท้ายแล้ว พยายามสร้างขวัญกำลังใจด้วยการจัดกิจกรรมสร้างทีมเสมือนจริง หรือแสดงความขอบคุณที่ทำงานหนัก อาจจะทำให้พนักงานรู้สึกดีและซาบซึ้งต่อกันมากขึ้น



 

  1. เพิ่มการสื่อสารในองค์กรมากขึ้น

 

          ในช่วงวิกฤตการสื่อสารเป็นสิ่งสำคัญ หนึ่งในตัวอย่างที่ทำเรื่องนี้ได้ดีคือบริษัท Visiblility Therapeutics ที่ซีอีโออย่าง Tim Walbert ส่งข้อความถึงพนักงานเป็นรายสัปดาห์ มีช่วงถามตอบ มีการประชุมรวม มีสภากาแฟ นอกากนี้ยังมีการสัมมนาผ่านเว็บไซต์ทุกสัปดาห์ เพื่อพูดคุยกับระดับผู้จัดการ แชร์ข้อมูลต่างๆ ทั้งเรื่องงานและเรื่องสุขภาพกาย สุขภาพใจของคนในทีมด้วย



 

  1. ผ่อนคลายเดดไลน์ และกำหนดเวลาการทำงานที่แน่นอน

 

           โควิดได้เปลี่ยนแปลวิธีทำงานและการดำเนินธุรกิจไปอย่างมาก แม้ว่าการกำหนดเวลาที่แน่นอนจะเป็นเรื่องจำเป็น แต่การปรับเส้นตายของงานไม่ให้กระชั้นมากนักเป็นเรื่องที่สำคัญเช่นกัน ในทำนองเดียวกัน การให้ชั่วโมงการทำงานที่ยืดหยุ่นมากขึ้น อาจจะมีพนักงานบางคนที่ทำงานในเวลาที่ต่างไปจากเดิม เช่น พนักงานที่มีลูกและลูกต้องเรียนออนไลน์ตั้งแต่เวลา 8.00 -11.00 น. อาจจะคาดหวังให้พวกเขาทำงานหรือเข้าร่วมการประชุมในช่วงเวลานั้นได้ยาก


           การอนุญาตให้พนักงานมีตารางเวลาที่ยืดหยุ่นมากขึ้นจะทำให้พวกเขามีความสุขและมีสุขภาพที่ดี ขาดงานน้อยลงและทำงานได้อย่างมีประสิทธิผลมากขึ้น



 

  1. ส่งเสริมการเติบโตและการพัฒนาตนเอง



         อย่างที่รู้กันดีว่างานที่ทำให้พนักงานได้พัฒนาตนเองและเติบโตนั้นจะมีอัตราการลาออกที่ต่ำกว่า สามารถเพิ่มยอดขาย เพิ่มการผลิต และสร้างความภักดีได้ดีกว่า นอกจากนี้การได้เรียนรู้จะทำให้พนักงานยินดีที่จะปรับตัว และเป็นวิธีการรับมือกับความเบื่อหน่ายที่บางคนกำลังประสบเมื่อต้องทำงานอยู่ที่บ้าน


          แล้วผู้ประกอบการจะสนับสนุนให้พนักงานเรียนรู้และเติบโตในช่วงโควิดได้อย่างไรล่ะ?


         ทุกวันนี้มีแพลตฟอร์มการเรียนรู้เช่น LinkedIn Learning หรือการสัมมนาผ่านเว็บไซต์ต่างๆ นอกจากนี้ยังสามารถแนะนำหนังสือ พอดคาสต์ TED Talk หรือการฝึกอบรมข้ามสายงานก็ได้เช่นกัน



 

  1. ช่วยเหลือด้านการเงิน

 
               
        เจ้าของธุรกิจสามารถแสดงความใส่ใจผ่านเงินสดก้อนโตก็ได้ ยกตัวอย่าง Workday ที่เสนอโบนัสเงินสดให้กับพนักงาน โดยให้เป็นเงินเท่ากับค่าจ้างประมาณ 2 สัปดาห์สำหรับช่วยเหลือค่าใช้จ่ายที่อาจเกิดขึ้นเพราะโควิด
               

         แต่จะทำอย่างไรถ้าบริษัทก็ไม่ได้มีเงินถุงเงินถังให้พนักงานได้ขนาดนั้น มีตัวเลือกที่ถูกกว่า อาจจะใช้วิธีจัดส่งอาหารถึงบ้าน จ่ายค่าอุปกรณ์ทำงานที่บ้าน หรือให้บัตรของขวัญเพื่อให้พนักงานไปซื้อของใช้ที่พวกเขาต้องการ
 
               
         คำแนะนำสุดท้าย นอกจากจะดูแลพนักงานในองค์กรแล้ว เจ้าของธุรกิจก็ไม่ควรละเลยตัวเองด้วย คุณเองก็กำลังประสบกับความเครียดและวิตกกังวล ใช้เวลาดูแลความเป็นอยู่ที่ดีของตัวเอง และถอดปลั๊กหยุดพักเรื่องงานเอาไว้เป็นครั้งคราว ท้ายที่สุดแล้ว ทุกคนก็จะผ่านวิกฤตไปด้วยกันได้
 

         ที่มา : https://www.forbes.com/sites/johnhall/2020/07/17/5-ways-to-take-care-of-your-team-during-covid-19/?sh=727743ec59ce
 
 
 

 
 
www.smethailandclub.com
ศูนย์รวมข้อมูลธุรกิจเอสเอ็มอี

RECCOMMEND: MANAGEMENT

พลังของ Introvert ! ศักยภาพเงียบที่ธุรกิจไม่ควรมองข้าม

Introvert ไม่ได้แค่ “อยู่เงียบๆ” แต่คือพลังสำคัญในโลกการทำงาน ทั้งคิดลึก ฟังเก่ง สร้างสรรค์ และนิ่งภายใต้แรงกดดัน มาดูกันว่าทำไมธุรกิจถึงไม่ควรมองข้ามพลังเงียบนี้

Quiet cracking เทรนด์ใหม่มนุษย์เงินเดือน เมื่อคนเก่งเริ่มหมดใจกับงานที่รัก

Quiet Cracking อาการแตกสลายแบบเงียบๆ ของคนรักงาน ที่ยังชื่นชอบในงานที่ทำอยู่ แต่เริ่มไปต่อไม่ไหว จากงานที่หนักเกินไป ทำเท่าไหร่ก็ไม่พอ เมื่อคนรักงาน หมดใจกับงานที่ทำอยู่ เราจะเยียวยาพวกเขายังไงดี อะไร คือต้นตอสาเหตุ ไปหาคำตอบกัน

Pet Friendly Workplace สูตรลับรักษาคนเก่ง ขององค์กรยุคใหม่

เมื่อก่อนใครพูดว่า “อยากพาน้องหมาน้องแมวมาทำงานด้วย” อาจโดนมองว่าแปลก แต่เดี๋ยวนี้ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ แล้ว เพราะหลายองค์กรทั่วโลกหันมาจริงจังกับ Pet Friendly Workplace ซึ่งช่วยลดอัตราการลาออก และรักษาคนเก่งให้อยู่ในองค์กร