ภารกิจกำจัด E-waste เคลียร์ขยะอิเล็กทรอนิกส์ในออฟฟิศยังไง ให้โลกไม่ร้อน




          ธุรกิจส่วนใหญ่ในปัจจุบันพึ่งพาอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ในการทำงาน และต้องหมั่นอัปเดตทั้งอุปกรณ์และซอฟท์แวร์อยู่เสมอเพื่อให้ทันกับเทคโนโลยีใหม่ล่าสุดและฉลาดกว่าเดิม แน่นอนว่าคอมพิวเตอร์หรืออุปกรณ์ที่ไม่เร็วพอก็จำเป็นต้องเลิกใช้


         แต่ละปีในแต่ละธุรกิจจะมีคอมพิวเตอร์ หน้าจอโปรเจกเตอร์ หรือเครื่องถ่ายเอกสาร หรือแม้กระทั่งโทรศัพท์มือถือเครื่องเก่าที่ชำรุด ใช้ไม่ได้แล้วต้องโละทิ้งไปกี่เครื่อง แล้วเครื่องพวกนั้นยังตั้งกองอยู่ในออฟฟิศเพราะไม่รู้จะกำจัดมันอย่างไร วันนี้เรามีวิธีจัดการกับขยะอิเล็กทรอนิกส์มาฝาก





4 วิธีที่ธุรกิจสามารถจัดการ E-Waste

 

          1. ซ่อมแซม บางครั้งอุปกรณ์จำนวนมากยังสามารถซ่อมแซมได้ง่าย แต่การตลาดปัจจุบันมักจะทำให้ผู้บริโภครู้สึกว่าต้องการรุ่นใหม่กว่า แทนที่จะคิดว่าอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์จะล้าสมัยหลังจากผ่านไปแค่ 2-3 ปี บริษัทควรลงทุนในอุปกรณ์ที่มีอายุการใช้งานยาวนานมากกว่าอุปกรณ์ที่จำเป็นต้องอัปเดตเป็นรุ่นใหม่ทุกปี
 

         ซึ่งการซ่อมอุปกรณ์สำนักงานและอิเล็กทรอนิกส์ไม่ได้เป็นแค่วิธีแก้ปัญหาที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมเท่านั้น ในแง่การเงิน นี่เป็นวิธีประหยัดเงินของธุรกิจได้อีก เพราะการซ่อมมักจะราคาถูกกว่าเปลี่ยนใหม่มากนั่นเอง





           2. หาแหล่งรีไซเคิล ขยะอิเล็กทรอนิกส์ประมาณ 60 เปอร์เซ็นต์ลงเอยด้วยการฝังกลบ และมักทำให้ดินปนเปื้อนสารพิษจากอุปกรณ์เหล่านั้น ไม่ว่าจะเป็น ปรอทหรือตะกั่ว อย่างไรก็ตามการรีไซเคิลขยะอิเล็กทรอนิกส์ไม่ใช่เรื่องง่ายและแตกต่างจากการรีไซเคิลขยะทั่วไป มักต้องรีไซเคิลด้วยวิธีการพิเศษ


          การรีไซเคิลที่ไม่มีประสิทธิภาพไม่ใช่แค่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมเท่านั้น แต่ยังส่งผลถึงสังคมด้วย มีกรณีตัวอย่างที่เมืองกุ้ยหยู ประเทศจีน ซึ่งเป็นเมืองที่มีมลพิษมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ประชาชนที่นั่นทำงานแยกชิ้นส่วนอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เพื่อเอาชิ้นส่วนภายในมาใช้ วิธีนี้ส่งผลร้ายต่อสุขภาพของพวกเขา
 

           3. บริจาค วิธีนี้อาจจะง่ายที่สุด ติดต่อโรงเรียนหรือองค์กรการกุศล เพราะนอกจากจะได้ส่งต่ออุปกรณ์ที่ยังพอใช้ต่อได้แล้ว บางที่สามารถนำไปหักลดหย่อนภาษีได้ด้วย



 

          4. ลดการซื้อที่ไม่จำเป็นให้น้อยที่สุด ขั้นตอนแรกสู่การจัดการขยะอย่างยั่งยืนคือการสร้างขยะให้น้อยลงตั้งแต่แรก หากธุรกิจมุ่งเน้นไปที่การลดการซื้ออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่ไม่จำเป็นตั้งแต่ต้น ปริมาณของเสียที่เหลือก็จะลดลงไปด้วย เพราะฉะนั้น ต้องวางแผนให้ดีว่าจำเป็นต้องซื้อจริงหรือไม่ และซื้อมาใช้แล้วคุ้มหรือเปล่า ที่สำคัญก่อนจะตัดสินใจซื้อไม่ควรพิจารณาแค่ราคาเพียงอย่างเดียว แต่ต้องคำนึงถึงการใช้งานระยะยาว และสามารถอัปเดตได้ โดยหาข้อมูลด้วย 2 คีย์เวิร์ดสำคัญอย่าง “แบรนด์ใดมีอัตราการเปลี่ยนอุปกรณ์ต่ำที่สุด” และ “รุ่นไหนที่ต้องซ่อมน้อยที่สุด”
 

            การให้พนักงานมีส่วนร่วมในการตัดสินใจซื้ออาจเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี เช่น หากทำงานด้านการออกแบบภายในอาจต้องการแล็ปท็อปแบบพกพาที่มีคุณสมบัติการวาดภาพหรือออกแบบที่เต็มประสิทธิภาพ หากซื้อโดยที่เครื่องไม่สามารถรองรับความสามารถเหล่านี้ ซื้อมาก็อาจจะกลายเป็นขยะในแทบจะทันที หรือใช้ได้ไม่นานก็ต้องเปลี่ยนเครื่องใหม่ ผู้ประกอบการสามารถลดของเสียได้โดยการทำให้แน่ใจว่าอุปกรณ์นั้นๆ ตอบสนองการใช้งานของพนักงานได้ตั้งแต่แรก



 

ไทยรั้งอันดับ 2 ประเทศสร้างขยะในอาเซียน

 
               
           แน่นอนว่าเมื่อมองจากมุมมองของผู้ประกอบการแล้วการกำจัด E-Waste ออกจากธุรกิจเป็นเรื่องจำเป็น แต่อีกประเด็นสำคัญที่ทำให้เราต้องจัดการ E-Waste อย่างถูกวิธี เพราะมันกำลังเป็นปัญหาใหญ่ของโลกในยุคดิจิทัลแบบนี้
 

            จากรายงาน The Global E-Waste Monitor 2020 ของมหาวิทยาลัยสหประชาชาติ (United Nation University, UNU) พบแนวโน้มขยะอิเล็กทรอนิกส์เติบโตต่อเนื่อง จาก 53.6 ล้านเมตริกตันในปี 2019 มีโอกาสพุ่งขึ้นเป็น 74.7 ล้านเมตริกตันในปี 2030 โดยทวีปเอเชียเป็นทวีปที่ผลิตขยะอิเล็กทรอนิกส์สูงที่สุดกว่า 24.9 ล้านเมตริกตัน แต่พบว่ามีการกำจัดอย่างถูกวิธีเพียง 17.4 เปอร์เซ็นต์ ที่เหลืออีกกว่า 82.6 เปอร์เซ็นต์ ไม่สามารถติดตามได้
 

             ที่สำคัญ 3 ประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ผลิตขยะอิเล็กทรอนิกส์สูงสุดนั้นมี “ประเทศไทย” รวมอยู่ด้วย โดยผลิตขยะอิเล็กทรอนิกส์มากถึง 0.6 ล้านเมตริกตัน รองจากอันดับ 1 คือ อินโดนีเซียที่ผลิตขยะอิเล็กทรอนิกส์ 1.6 ล้านเมตริกตัน ส่วนอันดับ 3 คือฟิลิปปินส์ ด้วยปริมาณขยะ 0.4 ล้านเมตริกตัน



 
               
             ทั้งที่สิ่งที่ถูกบอกว่าเป็นขยะอิเล็อกทรอนิกส์ส่วนใหญ่นั้นไม่ใช่ของเสียเลย แต่อุปกรณ์เหล่านั้นหรืออย่างน้อยก็ชิ้นส่วนสามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้ การรีไซเคิลคอมพิวเตอร์หรือแล็ปท็อป 1 ล้านเครื่องช่วยประหยัดพลังงานเทียบเท่ากับไฟฟ้าในครัวเรือนมากกว่า 3,500 หลังใน 1 ปี หรือการรีไซเคิลโทรศัพท์มือถือ 1 ล้านเครื่อง จะได้ทองแดงกลับมาถึง 35,274 ปอนด์ เงิน 772 ปอนด์ และทองคำ 75 บาท เรียกได้ว่าขยะอิเล็กทรอนิกส์นั้นอุดมไปด้วยโลหะมีค่ามากกว่าเหมืองถึง 40-50 เท่าเลยทีเดียว
 
               
             หากธุรกิจไม่มีความตระหนักในเรื่องการทิ้ง e-Waste อย่างถูกต้องก็จะทำให้ปัญหาสิ่งแวดล้อมมีความรุนแรงมากขึ้นในอนาคตอย่างแน่นอน
 
               
           แอบกระซิบอีกสักนิดว่า การรณรงค์เรื่องการจัดการขยะอิเล็กทรอนิกส์และสื่อสารออกไปให้ผู้บริโภครับรู้ก็จะเป็นการสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับธุรกิจได้ด้วย
 

           แหล่งข้อมูล : www2.calrecycle.ca.gov
                                 www.rubicon.com
                                 eponline.com
                                 
 
 


www.smethailandclub.com
ศูนย์รวมข้อมูลธุรกิจเอสเอ็มอี

RECCOMMEND: MANAGEMENT

Quiet cracking เทรนด์ใหม่มนุษย์เงินเดือน เมื่อคนเก่งเริ่มหมดใจกับงานที่รัก

Quiet Cracking อาการแตกสลายแบบเงียบๆ ของคนรักงาน ที่ยังชื่นชอบในงานที่ทำอยู่ แต่เริ่มไปต่อไม่ไหว จากงานที่หนักเกินไป ทำเท่าไหร่ก็ไม่พอ เมื่อคนรักงาน หมดใจกับงานที่ทำอยู่ เราจะเยียวยาพวกเขายังไงดี อะไร คือต้นตอสาเหตุ ไปหาคำตอบกัน

Pet Friendly Workplace สูตรลับรักษาคนเก่ง ขององค์กรยุคใหม่

เมื่อก่อนใครพูดว่า “อยากพาน้องหมาน้องแมวมาทำงานด้วย” อาจโดนมองว่าแปลก แต่เดี๋ยวนี้ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ แล้ว เพราะหลายองค์กรทั่วโลกหันมาจริงจังกับ Pet Friendly Workplace ซึ่งช่วยลดอัตราการลาออก และรักษาคนเก่งให้อยู่ในองค์กร

สูตรลับจัดการเวลาฉบับ Pickle Jar Theory  

จะทำอย่างไรให้สามารถบริหารเวลาได้อย่างมีประสิทธิภาพ และไม่ปล่อยให้สิ่งเล็กๆ มาบดบังสิ่งใหญ่ที่เป็นหัวใจของธุรกิจ? เราเลยจะพาไปรู้จัก Pickle Jar Theory แนวคิดการให้ความสำคัญกับงานหลักที่มีผลต่อเป้าหมาย ขณะเดียวกันก็ยังจัดพื้นที่ให้กับงานรองที่จำเป็น แต่ไม่เร่งด่วนด้วย