ในช่วงที่ผ่านมาคอหนังหลายคนคงได้ชมภาพยนตร์ที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับตระกูลแฟชั่นแบรนด์ดังจากอิตาลี ที่นำเสนอเรื่องราวช่วงระหว่างการส่งต่อธุรกิจจากทายาทรุ่นที่ 2 ไปยังทายาทรุ่นที่ 3 ท่ามกลางความรุ่งเรืองของธุรกิจ ไปพร้อมๆ กับปมของความขัดแย้งอันนำไปสู่ความแตกแยกและการฆาตกรรม ทำให้นึกถึงคำพูดที่ว่า ดูหนังดูละครแล้วให้ย้อนมาดูตัว จากพื้นฐานของครอบครัวอิตาเลียนกับครอบครัวไทยที่ค่อนข้างมีความคล้ายคลึงกัน ทำให้การจัดการธุรกิจครอบครัวมีข้อดีและข้อด้อยใกล้เคียงกัน ปมความขัดแย้งธุรกิจครอบครัวในเรื่องนี้จึงเป็นภาพสะท้อนปัญหาธุรกิจครอบครัวไทยได้เป็นอย่างดีเช่นกัน
ตำนานของแบรนด์มีจุดเริ่มต้นจากร้านเครื่องหนังและโรงงานเล็กๆ แต่ด้วยเอกลักษณ์เฉพาะตัวทั้งในเรื่องการออกแบบและการตัดเย็บ ธุรกิจก็เติบโตขึ้นจนสามารถขยายกิจการไปยังเมืองหลวงได้ในระยะเวลาไม่นาน หลังจากนั้น ครอบครัวได้มีการแบ่งหุ้นให้กับลูกชายทั้ง 3 คน ซึ่งธุรกิจก็ยังเติบโตไปได้ด้วยดี จนได้เปิด Flagship Store ครั้งแรกที่มหานครในสหรัฐอเมริกา ก่อนที่จะขยายตลาดไปยังเอเชีย และกลายเป็น Global Brand ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
หลังจากนั้นไม่นาน เงามืดที่บ่อนทำลายธุรกิจครอบครัวก็ได้เริ่มก่อตัวขึ้นในทายาทรุ่นที่ 3 เมื่อทายาท 2 คนได้เปิด Boutique ของตัวเองมาแข่งกับ Boutique ของกงสี ซึ่งได้สร้างปมขัดแย้งขึ้น จนครอบครัวตัดสินใจรวมธุรกิจเข้าด้วยกันและกลายเป็นบริษัทมหาชนในที่สุด ในขณะเดียวกัน ทายาทอีกคนซึ่งได้รับมรดกจนกลายมาเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ ก็เล่นงานผู้เป็นลุงให้ต้องติดคุกด้วยข้อหาเลี่ยงภาษี
แม้จะสามารถครองอำนาจในการบริหารธุรกิจได้ แต่ทายาทรุ่นที่ 3 ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ผู้นี้ก็ไม่สามารถบริหารธุรกิจให้ประสบความสำเร็จ จนต้องขายหุ้นให้กับนักลงทุนภายนอกไปกว่าครึ่ง และแม้ว่าจะได้รายได้จากการขาย Trademark มูลค่ามหาศาล แต่บริษัทก็ยังมีสถานะการเงินที่ย่ำแย่ จนในที่สุดนักลงทุนภายนอกก็สามารถเข้าซื้อหุ้นส่วนที่เหลือทั้งหมด อันเป็นจุดอวสานของตระกูลแฟชั่นแบรนด์ดังครอบครัวนี้นั่นเอง
พีระพัฒน์ เหรียญประยูร Managing Director – Wealth Planning and Non Capital Market Head, Private Banking Group ธนาคารกสิกรไทย กล่าวว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นกับธุรกิจครอบครัวตระกูลนี้เป็น Classic case ที่ชี้ให้เห็นถึงความผิดพลาดในการบริหารจัดการธุรกิจครอบครัว โดยเกิดจากหลายประเด็น ดังนี้