ทำงาน 4 วันต่อสัปดาห์ เทรนด์ หรือมาตรฐานใหม่ของโลก เมื่อหลายประเทศเริ่มทำแล้ว

 

 

     คงไม่ใช่เรื่องแปลกอีกต่อไปแล้วในโลกยุคหลังโควิด หากจะบอกว่าวันนี้คุณยังเป็นพนักงานประจำอยู่ แต่กลับไม่ต้องนั่งทำงานอยู่ออฟฟิศ หรือไม่จำเป็นต้องเข้าทำงาน 5 - 6 วันต่อสัปดาห์อีกต่อไป การแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้หลายองค์กรมีการปรับตัวและมีความยืดหยุ่นในการทำงาน เพื่อเอื้อประโยชน์ทั้งต่อบริษัทและพนักงานของพวกเขามากขึ้น

     จนเมื่อสถานการณ์เริ่มคลี่คลาย ผู้คนออกมาใช้ชีวิตนอกบ้านได้มากขึ้นเพราะการฉีดวัคซีน ทำให้หลายบริษัทในหลายประเทศเริ่มหันมาทบทวนรูปแบบการทำงานของตนเสียใหม่ ด้วยการลดจำนวนวันทำงานลงให้เหลือเพียง 4 วันต่อสัปดาห์ ในขณะที่พนักงานเองยังสามารถดูแลรับผิดชอบงานได้เหมือนเดิม ได้รับเงินเดือน และผลประโยชน์เท่าเดิม แต่ได้มีอิสระในการทำงานมากขึ้น ประชุมลดลง เพื่อสร้างสมดุลระหว่างชีวิตและการทำงาน โดยคิดว่าวิธีการดังกล่าวจะช่วยดึงดูดพนักงานไม่ให้อยากลาออก และเชื่อว่าจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานให้มากขึ้นได้ด้วยเช่นกัน มีประเทศไหนเริ่มทำไปแล้วบ้างไปดูกัน

เบลเยียม

     ราวเดือนมีนาคมที่ผ่านมานี้ ชาวเบลเยียมได้รับสิทธิ์ให้ทำงานเต็มสัปดาห์อยู่ที่ 4 วันแทนที่จะเป็น 5 วันเหมือนเดิม โดยที่พนักงานทุกคนยังคงได้รับเงินเดือนปกติเหมือนเช่นเดิม โดย Alexander de Croo นายกรัฐมนตรีแห่งเบลเยียมเชื่อว่าข้อตกลงดังกล่าวจะช่วยให้ตลาดแรงงานที่เข้มงวดของเบลเยียมมีความยืดหยุ่นมากขึ้น และทำให้ผู้คนผสมผสานชีวิตครอบครัวเข้ากับอาชีพการงานได้ง่ายขึ้น

     ซึ่งการที่พนักงานจะเลือกตัดสินใจว่าจะทำงานต่อสัปดาห์อยูที่ 4 หรือ 5 วันนั้น จริงๆ แล้วไม่ได้มีผลต่อปริมาณงาน หรือชั่วโมงการทำงานให้น้อยลงเลย โดยอาจมีข้อตกลงกับบริษัทว่าลดวันมาทำงานลง แต่ให้เพิ่มชั่วโมงการทำงานในแต่ละวันแทน หรืออาจไม่ต้องเพิ่มชั่วโมงการทำงาน แต่ความรับผิดชอบต่องานต้องเท่าเดิม

สหราชอาณาจักร

      สำหรับสหราชอาณาจักรเอง ได้เริ่มมีการจัดทำโครงการนำร่องเพื่อให้พนักงานบริษัทต่างๆ ได้ทดลองทำงาน 4 วันต่อสัปดาห์เป็นระยะเวลา 6 เดือน เพื่อศึกษาถึงผลกระทบของชั่วโมงการทำงานที่สั้นลงว่าส่งผลต่อประสิทธิภาพของบริษัท สวัสดีภาพของพนักงาน ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ไปจนถึงความเท่าเทียมทางเพศ และปัจจัยอื่นๆ

     โดยเมื่อวันที่ 4 เมษายน 2565 มีบริษัทกว่า 60 แห่ง ซึ่งมีพนักงานประมาณ 3,000 คน ได้เริ่มลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการแล้ว ซึ่งจะเริ่มต้นขึ้นในเดือนมิถุนายนนี้ โดยมีนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์และอ็อกซ์ฟอร์ด และวิทยาลัยบอสตันเป็นผู้ดำเนินการ โดยการปฏิรูปดังกล่าวนั้นพนักงานจะได้รับอนุญาตให้ทำงานได้ถึง 9.5 ชั่วโมงต่อวัน หรือตั้งแต่เวลาประมาณ 9.00 น. - 18.30 น. หรืออาจขยายไปถึง 10 ชั่วโมงต่อวัน เพื่อให้ลดจำนวนวันทำงานลงเหลือเพียง 4 วันต่อสัปดาห์

สกอตแลนด์ + เวลส์

     สำหรับสตอกแลนด์ และเวลส์ มีการตั้งเป้าว่าจะเริ่มดำเนินการให้แรงงานในประเทศลดวันการทำงานลงเหลือเพียงแค่ 4 วันในปี 2566 ซึ่งเป็นผลมาจากนโยบายหาเสียงของพรรค Scottish National Party (SNP) ที่ป่าวประกาศว่าจะช่วยให้พนักงานลดชั่วโมงการทำงานลง 20 เปอร์เซ็นต์ โดยไม่ต้องเสียค่าชดเชยใดๆ โดยทางพรรคจะเป็นฝ่ายสนับสนุนบริษัทที่เข้าร่วมด้วยเงินประมาณ 10 ล้านปอนด์ หรือราว 11.8 ล้านยูโร จากนโยบายดังกล่าวสถาบันวิจัยนโยบายสาธารณะ (IPPR) ได้ทำการสำรวจโดยพบว่ากว่าร้อยละ 80 ของผู้คนมีความคิดเชิงบวกต่อแนวคิดนี้ โดยมองว่าโครงการดังกล่าวจะช่วยส่งเสริมสุขภาพและสร้างความสุขให้แก่พวกเขาได้มากขึ้น โดยเริ่มมีบริษัทบางแห่งได้นำร่องลดวันการทำงานของพนักงานลงให้เหลือ 4 วันต่อสัปดาห์ไปบ้างแล้ว หลังจากที่ได้ทดลองทำแล้วพบผลที่น่าพึงพอใจ

ไอซ์แลนด์

     เรียกว่าเป็นประเทศที่มาก่อนกาลก็ว่าได้ เพราะในไอซ์แลนด์นั้นเริ่มมีการลดชั่วโมงการทำงานลงจาก 40 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ให้เหลือเพียง 35 – 36 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ตั้งแต่ปี 2558 จนถึงปี 2562 โดยที่ไม่มีการปรับลดค่าจ้างลง ซึ่งมีผู้เข้าร่วมการทดสอบกว่า 2,500 คน ซึ่งจากการศึกษาดังกล่าวนั้นได้นำมาสู่การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญในไอซ์แลนด์ โดยเกือบร้อยละ 90 ของประชากรที่ทำงานมีการลดชั่วโมงการทำงานลง โดยมีผลการวิจัยออกมาว่าพบว่าชาวไอซ์แลนด์วัยทำงานมีความเครียด เบื่อหนายการทำงานลดลง สมดุลระหว่างการใช้ชีวิตและการทำงานก็ดีขึ้น

สวีเดน

     ในสวีเดนเริ่มมีการทดลองลักษณะเดียวกันนี้ เพื่อให้พนักงานลดชั่วโมงการทำงานลงตั้งแต่ปี 2558 ซึ่งค่อนข้างมีผลลัพธ์และความคิดเห็นที่แตกต่างกันออกไป เช่น มีการเสนอให้ทดลองทำงานเหลือเพียงวันละ 6 ชั่วโมง จากเดิม คือ 8 ชั่วโมงต่อวัน โดยไม่ต้องจ่ายค่าจ้างในชั่วโมงที่หายไป ซึ่งทำให้ลูกจ้างบริษัทเอกชนหลายคนไม่พอใจ ในขณะที่เจ้าหน้าที่ทางการแพทย์ หมอ พยาบาล กลับมีความรู้สึกไปในเชิงบวกที่ลดชั่วโมงการทำงานลงจาก 8 ชั่วโมงเหลือเพียง 6 ชั่วโมงต่อวัน และจ้างพนักงานใหม่มาทดแทนในช่วงเวลาที่หายไป เนื่องจากทำให้พวกเขาไม่ต้องเหนื่อยเกินไป

เยอรมนี

      ถ้าถามว่าประเทศใดในยุโรปที่มีชั่วโมงการทำงานน้อยที่สุด จากข้อมูลของ World Economic Forum (WEF) พบว่า ก็คือ เยอรมัน นั่นเอง เฉลี่ย 34.2 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ แต่ถึงจะน้อยที่สุดแล้วก็ยังมีการเรียกร้องให้ลดชั่วโมงการทำงานลงไปอีก โดยเมื่อปีที่แล้ว IG Metall สหภาพการค้าที่ใหญ่ที่สุดของเยอรมันได้เรียกร้องให้มีสัปดาห์การทำงานสั้นลง โดยอ้างว่าจะช่วยรักษางานและหลีกเลี่ยงการเลิกจ้างได้

     โดยจากการสำรวจของ Forsa พบว่ากว่า 71 เปอร์เซ็นต์ของคนทำงานอยากมีตัวเลือกให้ทำงานเพียง 4 วันต่อสัปดาห์บ่าง โดย 3 ใน 4 ของผู้ตอบแบบสำรวจกล่าวว่าพวกเขาพร้อมจะสนับสนุนรัฐบาลหากจะออกนโยบายลดการทำงานลงให้เหลือเพียง 4 วันต่อสัปดาห์ ขณะที่นายจ้าง 2 ใน 3 ก็คิดเช่นเดียวกัน โดยผู้คนกว่า 75 เปอร์เซ็นต์ เชื่อว่าการทำงาน 4 วันต่อสัปดาห์น่าจะเป็นประโยชน์ต่อเหล่าพนักงาน และ 59 เปอร์เซ็นต์เชื่อว่านายจ้างจะทำได้เช่นกัน ขณะที่ตัวนายจ้างเองกว่า  

     46 เปอร์เซ็นต์มีความเห็นว่าการทำงาน 4 วันต่อสัปดาห์ในองค์กรของตนนั้นเป็นไปได้

ญี่ปุ่น

     ในปี 2564 รัฐบาลญี่ปุ่นเริ่มมีการประกาศนโยบายวางแผนการสร้างสมดุลให้เกิดขึ้นระหว่างการใช้ชีวิตและการทำงานให้เกิดความสมดุลซึ่งกันและกัน โดยมองว่าจะส่งผลดีต่อการพัฒนาประเทศมากขึ้น เนื่องจากประเทศญี่ปุ่นค่อนข้างมีสถิติผู้คนที่เสียชีวิตจากการทำงานหนักจำนวนมาก ทั้งจากการเจ็บป่วย หรือการฆ่าตัวตาย โดยในปี 2562 ยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีอย่าง Microsoft ได้ทดลองเสนอวันหยุดสุดสัปดาห์ให้พนักงานเป็น 3 วัน ภายในระยะเวลาหนึ่งเดือน โดยพบว่าช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานและการผลิตให้เพิ่มขึ้นได้กว่า 40 เปอร์เซ็นต์

สเปน

     ฝั่งด้านสเปนเองก็เริ่มมีความเคลื่อนไหวให้เห็นแล้ว โดยพรรคเล็กฝ่ายซ้าย Más País ได้ประกาศเอาไว้เมื่อต้นปีว่ารัฐบาลได้ตกลงที่จะขอให้เปิดตัวโครงการนำร่องเล็กๆ ของนโยบายการทำงาน 4 วันต่อสัปดาห์ สำหรับบริษัทต่างๆ ที่สนใจแนวคิดนี้

     “ด้วยสัปดาห์ทำงาน 4 วัน (32 ชั่วโมง) เรากำลังเข้าสู่การอภิปรายที่แท้จริงของเวลาของเรา” อินิโก เอร์เรฆอน รองสภาคองเกรสสเปนได้กล่าวไว้ โดยได้เริ่มมีการประชุมปรึกษาหารือกันในเมื่อต้นเดือนเมษายน เพื่อจะทดลองให้พนักงานกว่า 6,000 คนของบริษัทเล็กๆ 200 แห่งได้หยุดงานเพิ่ม 1 วันต่อสัปดาห์ หรือรวมแล้วเท่ากับ 3 วันต่อสัปดาห์ โดยได้รับค่าจ้างเต็มจำนวน โดยมีระยะทดลองอย่างน้อยหนึ่งปี แต่ยังไม่แน่ชัดเจนว่าจะเริ่มต้นเมื่อใด

นิวซีแลนด์

     ในขณะที่ในนิวซีแลนด์บริษัทยักษ์ใหญ่ด้านสินค้าอุปโภคบริโภคอย่าง Unilever ก็มีการทดลองให้พนักงาน 81 คน ได้ทำงาน 4 วันต่อสัปดาห์ โดยได้รับค่าจ้างเต็มจำนวน Nick Bangs กรรมการผู้จัดการยูนิลีเวอร์นิวซีแลนด์กล่าวเป้าหมายก็เพื่อทดลองวัดผลการปฏิบัติงาน โดยคิดว่าวิธีการทำงานแบบเก่าๆ อาจไม่เหมาะสมกับวัตถุประสงค์ของบริษัทอีกต่อไป ซึ่งหากการทดลองนี้ประสบความสำเร็จ บริษัทจะมีการขยายไปยังประเทศอื่นๆ ต่อไป

สหรัฐ + แคนนาดา

      สุดท้ายสำหรับประเทศยักษ์ใหญ่อย่างสหรัฐอเมริกาพ่วงด้วยแคนนาดาพบว่าก็เริ่มมีความสนใจอยากทดลองนำนโยบายการทำงาน 4 วันต่อสัปดาห์มาทดลองใช้เช่นกัน

      เริ่มจากในสหรัฐอเมริกา จากการสำรวจโดย Qualtrics ผู้จำหน่ายซอฟต์แวร์ระบบคลาวด์พบว่า 92 เปอร์เซ็นต์ของพนักงานในสหรัฐฯ ที่ได้ทำการสำรวจเห็นด้วยกับสัปดาห์การทำงานที่สั้นลง ถึงแม้ว่าจะหมายถึงการทำงานนานขึ้นในแต่ละวันก็ตาม โดยพนักงานที่ทำแบบสำรวจได้กล่าวว่านโยบายดังกล่าวจะส่งผลให้สุขภาพจิตพวกเขาดีขึ้น และความสามารถในการทำงานก็จะเพิ่มขึ้นตามประโยชน์ที่ได้รับด้วย โดยพนักงาน 3 ใน 4 หรือประมาณ 74 เปอร์เซ็นต์ กล่าวว่าพวกเขาสามารถทำงานให้เสร็จได้ใน 4 วันโดยไม่ต้องเพิ่มเวลาการทำงานในแต่ละวัน ขณะที่ 72 เปอร์เซ็นต์ กล่าวว่าจะต้องใช้เวลาทำงานนานขึ้นในวันทำงานจึงจะทำเช่นนั้นได้

     มาทางฝั่งแคนาดา จากการวิจัยของ Indeed บริษัทจัดหางานทั่วโลกพบว่า 41 เปอร์เซ็นต์ของนายจ้างชาวแคนาดากำลังพิจารณาตารางการทำงานแบบผสมผสานทางเลือกและรูปแบบการทำงานใหม่ๆ เข้าด้วยกันภายหลังการระบาดของโควิด-19 โดยได้มีการสำรวจนายจ้างกว่า 1,000 คนในแคนาดา พบว่า 51 เปอร์เซ็นต์ของบริษัทขนาดใหญ่ที่มีพนักงานมากกว่า 500 คนมีแนวโน้มที่จะเริ่มดำเนินนโยบายให้ทำงาน 4 วันต่อสัปดาห์ ขณะที่กว่าร้อยละ 63 ขององค์กรขนาดกลางที่มีพนักงานอยู่ราว 100 - 500 คน กล่าวว่าพวกเขาพร้อมที่จะดำเนินการทำงานต่อสัปดาห์ที่สั้นลงเช่นกัน นอกจากนี้พนักงานลูกจ้างประจำชาวแคนาดาเองกว่าร้อยละ 79 พบว่ายังเต็มใจที่จะลดเวลาทำงาน 5 วันต่อสัปดาห์ให้เหลือ 4 วัน จากการสำรวจความคิดเห็นของ Maru Public Opinion ที่จัดทำขึ้นด้วย

     จากข้อมูลที่กล่าวมาแล้วนั้น ดูเหมือนนโยบายการทำงาน 4 วันต่อสัปดาห์เริ่มจะได้รับความสนใจจากหลายประเทศทั่วโลกมากขึ้นอย่างต่อเนื่องทีเดียว คงต้องรอดูกันต่อไปว่านี่จะเป็นเพียงแค่เทรนด์ทดลองในบางประเทศ หรือจะกลายเป็นมาตรฐานใหม่ของการทำงานทั่วโลกได้ จาก 5 วันให้เหลือเพียง 4 วันต่อสัปดาห์

 

TEXT : กองบรรณาธิการ

 

ที่มา : https://www.clearestate.com/blog/exclusive-clearestate-poll-shows-estate-settlement-among-lifes-most-difficult-tasks

 

www.smethailandclub.com
ศูนย์รวมข้อมูลธุรกิจเอสเอ็มอี

RECCOMMEND: MANAGEMENT

พลังของ Introvert ! ศักยภาพเงียบที่ธุรกิจไม่ควรมองข้าม

Introvert ไม่ได้แค่ “อยู่เงียบๆ” แต่คือพลังสำคัญในโลกการทำงาน ทั้งคิดลึก ฟังเก่ง สร้างสรรค์ และนิ่งภายใต้แรงกดดัน มาดูกันว่าทำไมธุรกิจถึงไม่ควรมองข้ามพลังเงียบนี้

Quiet cracking เทรนด์ใหม่มนุษย์เงินเดือน เมื่อคนเก่งเริ่มหมดใจกับงานที่รัก

Quiet Cracking อาการแตกสลายแบบเงียบๆ ของคนรักงาน ที่ยังชื่นชอบในงานที่ทำอยู่ แต่เริ่มไปต่อไม่ไหว จากงานที่หนักเกินไป ทำเท่าไหร่ก็ไม่พอ เมื่อคนรักงาน หมดใจกับงานที่ทำอยู่ เราจะเยียวยาพวกเขายังไงดี อะไร คือต้นตอสาเหตุ ไปหาคำตอบกัน

Pet Friendly Workplace สูตรลับรักษาคนเก่ง ขององค์กรยุคใหม่

เมื่อก่อนใครพูดว่า “อยากพาน้องหมาน้องแมวมาทำงานด้วย” อาจโดนมองว่าแปลก แต่เดี๋ยวนี้ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ แล้ว เพราะหลายองค์กรทั่วโลกหันมาจริงจังกับ Pet Friendly Workplace ซึ่งช่วยลดอัตราการลาออก และรักษาคนเก่งให้อยู่ในองค์กร