รู้จัก Winning Zone โหมดที่จะทำให้ธุรกิจชนะแบบไร้คู่แข่ง

TEXT: ภัทร เถื่อนศิริ

Main Idea

  • ทำอย่างไรธุรกิจถึงจะอยู่ในจุดที่ลูกค้าโหยหาสินค้าหรือบริการ และบริษัทไม่มีคู่แข่ง หรือจุดที่เรียกว่า Winning Zone

 

  • ไปดูตัวอย่างการทำเวิร์กชอปที่จะทำให้ธุรกิจเจอ Winning Zone

 

 

     ช่วงอาทิตย์ที่ผ่านมาผมได้มีโอกาสได้ทำ Workshop และพูดคุยกับทีมที่ปรึกษาเพื่อปรับปรุงกลยุทธ์การเติบโตของบริษัทฯ ซึ่งผมคิดว่ามีมุมที่ผมประทับใจและอย่างนำมาเป็นบทเรียนแก่ทุกท่านด้วยครับ

     ซึ่งเป็นหลักการง่ายๆ แต่เมื่อเราได้มุมมองจากคนนอกจะได้ความจริงที่บางทีเรามองไม่เห็นครับ ลดอคติที่เข้าข้างตัวเองไปได้เยอะ โดย Framework จะช่วยให้เรา “มีเหตุมีผล” กับกลยุทธ์ที่เหมาะสมกับธุรกิจครับ

     Step 1 : เริ่มต้นจากการเขียนวงกลมสามวง แทน สิ่งที่เราเก่ง สิ่งที่ลูกค้าต้องการ สิ่งที่คู่แข่งมี ก่อนให้วงกลมทับซ้อนกัน จุดที่ลูกค้าต้องการและคู่แข่งไม่มี คือ Winning Zone คือ สิ่งที่เราตามหา แต่ Winning Zone จะหามาจากอะไร

     Step 2 : Focus Customer ขั้นตอนแรกในการหา Winning Zone คือ เราต้องนึกภาพลูกค้าเราให้ชัดเจนที่สุด อธิบายออกมาให้ได้ว่า คือใคร หน้าตาอย่างไร มีความชอบ Lifestyle แบบไหน ธุรกิจเราจับลูกค้าใครกันแน่ เพื่ออะไร เพื่อทำความเข้าใจ ศึกษา ลูกค้ากลุ่มเป้าหมายของเราให้ถ่องแท้ เข้าใจเค้ามากกว่าเค้าเข้าใจตัวเอง เราต้องทำความเข้าใจสิ่งที่ลูกค้าต้องการจริงๆ ต้องมี Pain / Gain ที่ลูกค้าให้คุณค่าจริงๆ ซึ่งตรงนี้เป็นส่วนที่โดยส่วนตัวว่ายากที่สุดแล้ว เพราะมันคือการทำความเข้าใจคนอื่น เพราะสิ่งที่เรามันจะรู้ดีคือรู้จักตัวเอง รู้ว่าตัวเองเก่งอย่างไร

     Step 3 : ลดอคติการ Focus ตัวเองลง ต้องบอกว่าเป็นข้อผิดพลาดของคนทำธุรกิจส่วนใหญ่เลย บางทีมันมองไม่เห็นครับ เพราะเราอยู่กับธุรกิจของเรา เราหลงรักสินค้าของเรา เราเห็นแต่ข้อดีของมันมีมากมาย แต่นั้นคือมุมมองของเราที่เป็น Inside-out มี Bias อยู่แล้ว ดังนั้น ธุรกิจส่วนใหญ่จึงกำหนดกลยุทธ์การเติบโตโดยการขยายวงกลมตัวเองเก่งให้โตขึ้นนั้นเอง

     แต่แต่แต่... สังเกตุอะไรไหมครับ ... Winning Zone ไม่ได้ขยายนะ หรือถ้าขยายก็จะไม่มากนัก สิ่งที่ขยายจริงๆคือวงกลมตัวเราเท่านั้นเองครับ เป็นสิ่งที่ตกม้าตายกันเยอะมากๆครับ [ตัวผมเองก็ด้วยครับ] บางทีการได้มุมมองจากภายนอกทั้งจากที่ปรึกษา, Mentor ที่เป็น Outside-in เลยมีความสำคัญมากๆครับ

     Step 4 : Analytic วิเคราะห์กลุ่มลูกค้า ส่วนตัวธุรกิจผมใช้ RFM Model ครับในการวิเคราะห์ เพื่อแบ่งกลุ่มออกมา แล้วพิจารณา CLV [ Customer Lifetime Value] ประกอบว่าเราควรจะดูแลลูกค้าแต่ละกลุ่มอย่างไรโดยที่ไม่เกิน CLV พอเราวิเคราะห์ออกมาแล้วว่าเราจะโฟกัสลูกค้ากลุ่มไหน กลุ่มไหนใหญ่สุดและเราทำกำไรได้เยอะที่สุด แล้วเราพยายามศึกษาทำความเข้าใจเค้าเพิ่มเติม เพื่อหา Solution ที่ช่วยแก้ปัญหาให้กลุ่มลูกค้าและตอบโจทย์ Business Objective ของบริษัทเราด้วย

     Step 5 : Sensible มีเหตุมีผล เชื่อมโยงข้อมูลที่เรารวบรวมมาแล้ว สรุป Winning Zone กำหนดกลยุทธ์อย่างสมเหตุสมผลเพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืนของบริษัทต่อไป

     Step 6 : Action & Rethink ลงมือทำ เรียนรู้ และนำกลับมาพัฒนาต่อไป

     หวังว่าจะเป็นประโยชน์กับทุกท่านนะครับ เพราะโดยส่วนตัวผมได้รับประโยชน์จากมันเยอะเลยทีเดียวครับ

www.smethailandclub.com
ศูนย์รวมข้อมูลธุรกิจเอสเอ็มอี

RECCOMMEND: MANAGEMENT

Quiet cracking เทรนด์ใหม่มนุษย์เงินเดือน เมื่อคนเก่งเริ่มหมดใจกับงานที่รัก

Quiet Cracking อาการแตกสลายแบบเงียบๆ ของคนรักงาน ที่ยังชื่นชอบในงานที่ทำอยู่ แต่เริ่มไปต่อไม่ไหว จากงานที่หนักเกินไป ทำเท่าไหร่ก็ไม่พอ เมื่อคนรักงาน หมดใจกับงานที่ทำอยู่ เราจะเยียวยาพวกเขายังไงดี อะไร คือต้นตอสาเหตุ ไปหาคำตอบกัน

Pet Friendly Workplace สูตรลับรักษาคนเก่ง ขององค์กรยุคใหม่

เมื่อก่อนใครพูดว่า “อยากพาน้องหมาน้องแมวมาทำงานด้วย” อาจโดนมองว่าแปลก แต่เดี๋ยวนี้ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ แล้ว เพราะหลายองค์กรทั่วโลกหันมาจริงจังกับ Pet Friendly Workplace ซึ่งช่วยลดอัตราการลาออก และรักษาคนเก่งให้อยู่ในองค์กร

สูตรลับจัดการเวลาฉบับ Pickle Jar Theory  

จะทำอย่างไรให้สามารถบริหารเวลาได้อย่างมีประสิทธิภาพ และไม่ปล่อยให้สิ่งเล็กๆ มาบดบังสิ่งใหญ่ที่เป็นหัวใจของธุรกิจ? เราเลยจะพาไปรู้จัก Pickle Jar Theory แนวคิดการให้ความสำคัญกับงานหลักที่มีผลต่อเป้าหมาย ขณะเดียวกันก็ยังจัดพื้นที่ให้กับงานรองที่จำเป็น แต่ไม่เร่งด่วนด้วย