Matcha: มัทฉะไม่ได้เป็นเพียงชาเขียว แต่คือ “สัญลักษณ์พรีเมียม” ของวัฒนธรรมญี่ปุ่นและถูกยกให้เป็น Superfood ที่กำลังเป็นเทรนด์สุขภาพทั่วโลก
กระแสมัทฉะพุ่งแรงตั้งแต่ปี 2568 ได้แรงขับจาก TikTok, Instagram และเทรนด์สุขภาพ ทำให้มัทฉะถูกมองเป็น “Clean Caffeine” ดื่มแทนกาแฟได้โดยไม่กระทบสุขภาพ ราคาผลิตภัณฑ์คุณภาพสูงพุ่งขึ้น ขณะที่ปริมาณผลผลิตลดลงจากการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ เกิดภาวะของขาดตลาดในหลายภูมิภาค ทำให้ซัพพลายทั่วโลกไม่เพียงพอ
สำหรับผู้ประกอบการไทย นี่คือโอกาสทอง เพราะตลาดชาโลกไม่ได้หยุดอยู่ที่มัทฉะ แต่กำลังเปิดกว้างสู่ ชาในรูปแบบใหม่ ที่ตอบโจทย์ทั้งสุขภาพ ความสะดวก และประสบการณ์การดื่ม
ไทยในฐานะผู้เล่นที่มีของอยู่แล้ว
ข้อมูลจากสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร ระบุว่า ปี 2567 ไทยผลิตชาได้กว่า 106,643 ตัน เพิ่มขึ้นเล็กน้อย 0.3% และคาดว่าปี 2568 จะขยับขึ้นเป็น 107,393 ตัน โดยกว่า 93% เป็น ชาอัสสัม ที่ปลูกหนาแน่นในภาคเหนือ
แม้ “ชาอัสสัม” จะไม่ได้เป็นชื่อที่ดังในตลาดโลกเทียบเท่ามัทฉะหรือชาอู่หลง แต่ในเชิงโครงสร้าง ไทยถือว่ามี ฐานการผลิตมั่นคง ปริมาณมาก และรสเข้มเฉพาะตัว ซึ่งสามารถต่อยอดสู่การสร้าง positioning ใหม่ได้
ตลาดในประเทศยังโต แถมพร้อมดื่มกำลังมาแรง
Euromonitor รายงานว่า มูลค่าตลาดค้าปลีกชาไทยในปี 2567 อยู่ที่ 2,262.7 ล้านบาท โตขึ้น 4.2%
ชาเขียวครองสัดส่วนใหญ่สุด มูลค่า 1,040 ล้านบาท (46.3%)
รองลงมาเป็น ชาผลไม้/สมุนไพร 23% และ ชาดำ 13.5%
สิ่งที่น่าสนใจกว่าคือ ตลาดชาพร้อมดื่ม ซึ่งมีมูลค่าสูงถึง 16,834.7 ล้านบาท และยังโตแรงถึง 6.8% สูงกว่าตลาดชาแห้งหลายเท่า สะท้อนว่า คนรุ่นใหม่เลือกดื่มชาในรูปแบบ “สะดวก–จับต้องง่าย–มีภาพลักษณ์” มากกว่าการชงดื่มแบบดั้งเดิม
ส่งออกชาไทยกำลัง “พุ่งแรง”
ปี 2567 การส่งออกชาและผลิตภัณฑ์ชาของไทยมีมูลค่า 70.2 ล้านเหรียญสหรัฐ (2,459 ล้านบาท) เพิ่มขึ้นถึง 13.6%
- ชาดำ ส่งออก 2,460 ตัน โตเกือบ 39%
- ชาเขียว 1,791 ตัน โตแรงถึง 65%
- ขณะที่ผลิตภัณฑ์ชา (instant / ready-mix) 42.3 ล้านเหรียญ กลับลดลงเล็กน้อย 2.5%
ตลาดส่งออกหลัก 5 อันดับแรก ได้แก่ กัมพูชา ลาว สหรัฐฯ อินโดนีเซีย เวียดนาม
จุดสังเกตคือ แม้เพื่อนบ้าน CLMV จะยังเป็นตลาดหลัก แต่ สหรัฐฯ กำลังขึ้นมาเป็นผู้เล่นสำคัญ สอดคล้องกับกระแสรักสุขภาพและความต้องการทางเลือกใหม่จากมัทฉะ
ในขณะที่ไทยยัง “นำเข้าชาเขียว” อยู่ไม่น้อย
แม้จะผลิตชาได้มาก ไทยยังต้องนำเข้าชาและผลิตภัณฑ์ชารวม 51 ล้านเหรียญสหรัฐ (1,807 ล้านบาท) โต 13.6% โดยเฉพาะชาเขียวที่นำเข้าเกือบ 6,500 ตัน มูลค่า 11.8 ล้านเหรียญ (+16.8%)
นี่สะท้อนชัดว่า ชาเขียวคุณภาพสูงยังเป็น Pain Point ของอุตสาหกรรมชาไทย และหากพัฒนาได้ จะกลายเป็นทั้งโอกาสลดการนำเข้าและสร้างตลาดส่งออกใหม่ในอนาคต
ตลาดชาโลก: โตต่อเนื่อง เปิดช่องนวัตกรรม
รายงานจาก Euromonitor ระบุว่า มูลค่าตลาดค้าปลีกชาทั่วโลกปี 2567 อยู่ที่กว่า 51,470 ล้านเหรียญสหรัฐ และจะโตเฉลี่ย 6.1% ต่อปี จนแตะ 69,220 ล้านเหรียญฯ ในปี 2572 โดย ชาเขียวและชาสมุนไพร เป็นกลุ่มที่โตเร็ว ขานรับกระแสรักสุขภาพและ Wellness Economy ที่มาแรงไม่หยุด
ที่สำคัญ ผลิตภัณฑ์ชาที่มีการผสม นวัตกรรม หรือทำให้ดื่มง่ายขึ้น กลายเป็น Segment ที่ขยายตัวสูงสุด (+11.9%) ในปีที่ผ่านมา สะท้อนชัดว่าตลาดไม่ได้แข่งขันที่ “ชาใบ” อย่างเดียวอีกต่อไป แต่แข่งขันกันที่ คุณค่าใหม่และประสบการณ์ใหม่
โอกาสของชาไทย: จากชาดิบสู่ “ชาแปรรูปมูลค่าสูง”
แม้ไทยจะยังไม่ใช่ผู้เล่นหลักในตลาดชาโลก แต่ตัวเลขการส่งออกปี 2567 ก็น่าสนใจ ไทยส่งออกชาและผลิตภัณฑ์ชาไปกว่า 70.2 ล้านเหรียญฯ (2,459 ล้านบาท) โต 13.6% โดยเฉพาะ ชาเขียว โตแรงถึง 65.2%
แต่ประเด็นที่ผู้ประกอบการควรโฟกัสคือ การยกระดับจากชาใบดิบ ไปสู่ชาแปรรูปที่มีนวัตกรรม ไม่ใช่แข่งขันกับยักษ์ใหญ่ด้านชาในเรื่องต้นทุน
ทิศทางการต่อยอดที่น่าสนใจ
Functional Tea – ชาเพื่อสุขภาพ ผสมโพรไบโอติก พฤกษเคมี หรือซูเปอร์ฟู้ด ตอบโจทย์ตลาด Wellness
Ready-to-Drink & Cold Brew – เน้นความสะดวก บรรจุภัณฑ์จับง่าย ขยายตลาดคนรุ่นใหม่
Exotic Flavors – ใช้ผลไม้ไทย สมุนไพร หรือแม้แต่นมพืช สร้างรสชาติที่โลกคาดไม่ถึง
Sustainable Tea – กระบวนการผลิต–บรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม สอดรับ ESG Trend
ต้องรีบ “ยึดพื้นที่ใจ” ของผู้บริโภค
ในวันที่มัตฉะเป็นสัญลักษณ์ของ “ความหรู” และกำลังเผชิญข้อจำกัดด้านซัพพลาย นี่คือเวลาที่ชาไทยสามารถเข้าไป จับพื้นที่ว่างของตลาดโลก ได้ หากผู้ประกอบการไทยมองข้ามการขายชาดิบ และหันมา ลงทุนสร้างแบรนด์–นวัตกรรม–เรื่องราวที่แตกต่าง
เพราะท้ายที่สุดแล้ว ผู้บริโภคไม่ได้ต้องการแค่ “ชาราคาถูก” แต่ต้องการ ชาในฐานะประสบการณ์ชีวิต เครื่องดื่มที่สะท้อนสุขภาพ ไลฟ์สไตล์ และความยั่งยืน
ที่มา:สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า
www.smethailandclub.com
ศูนย์รวมข้อมูลธุรกิจเอสเอ็มอี