​ยุคสมัยที่ดาต้าสำคัญกว่าน้ำมัน


เรื่อง    แมตต์ โรเบิร์ตส์, 
           ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด 
           ด้านบิ๊กดาต้าและนวัตกรรมเชิงกลยุทธ์, แอมดอกซ์
 
 
    บิ๊กดาต้า เป็นเทรนด์ที่ถูกกล่าวถึงบ่อยครั้งในสังคมปัจจุบัน แต่บิ๊กดาต้านั้นเข้ามามีบทบาทในทุกสัดส่วนของชีวิตประจำวันของเราแล้วจริงหรือ?
 
    ผมมองว่าไม่จริง แม้ว่าบิ๊กดาต้าเป็นสิ่งที่ถูกกล่าวถึงและได้การยอมรับมากขึ้น แต่เราควรจะลงมือนำบิ๊กดาต้ามาประยุกต์เข้ากับชีวิตประจำวันมากกว่านี้ ผมขอแบ่ง “บิ๊กดาต้า” เป็นสามสัดส่วน ได้แก่ “ความพยายาม”, “ของเล่น” และ “หัวใจหลัก” เพื่อให้ง่ายต่อการทำความเข้าใจ
 
    “หัวใจหลัก” เป็นสัดส่วนที่อ้างถึงการวิเคราะห์ – หรือส่วนที่น่าสนใจที่สุดของบิ๊กดาต้า รวมไปถึงการนำข้อมูลเชิงลึก ที่มาจากการวิเคราะห์ชุดข้อมูลจำนวนมาก เพื่อสร้างกลยุทธ์เพื่อผลักดันธุรกิจ โดยข้อมูลเชิงลึกเหล่านี้จะช่วยบ่งชี้ปัญหาการใช้งานของลูกค้าก่อนที่พวกเขาจะทราบ จึงทำให้ผู้ให้บริการทางโทรคมนาคมสามารถแก้ปัญหาได้ก่อนที่ลูกค้าจะได้รับประสบการณ์การใช้งานที่ไม่น่าประทับใจ
 
    “ของเล่น” เป็นสัดส่วนที่อ้างถึงเทคโนโลยีใหม่ๆ โดยส่วนมากจะเป็นเทคโนโลยีแบบ Open Source โดยแผนกไอทีขององค์กรต่างๆจะรีบออกไปซื้อ “ของเล่น” เหล่านี้ จึงทำให้บริษัทที่นำเสนอบริการรูปแบบนี้ เช่น Hortonworks และ Cloudera สามารถเติบโตได้อย่างรวดเร็ว
 
    ส่วนดังกล่าว เป็นสองหัวข้อหลักที่ขับเคลื่อนความแพร่หลายของบิ๊กดาต้า แต่สัดส่วนที่สาม หรือ “ความพยายาม” เป็นส่วนที่คนส่วนใหญ่มองข้าม เราจึงต้องทำความเข้าใจว่า “ความพยายาม” เป็นสิ่งจำเป็น เราจึงจะสามารถนำบิ๊กดาต้ามาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันได้อย่างมีประสิทธิภาพ
 
    ผู้ให้บริการทางโทรคมนาคมควรผันตัวเองให้เป็นธุรกิจที่ขับเคลื่อนโดยดาต้า ในการที่จะได้รับผลประโยชน์สูงสุดจากบิ๊กดาต้า องค์กรส่วนใหญ่อยู่ในขั้นตอนเริ่มต้นเท่านั้น ซึ่งพวกเขาจะพบว่าหนทางข้างหน้ามีอุปสรรคมากมาย
 
    ผู้ให้บริการทางโทรคมนาคมควรพัฒนาระบบการจัดการดาต้าจากรูปแบบเดิมให้กลายเป็น “ทะเลสาบดาต้า” ซึ่งเป็นการผสมผสานฐานข้อมูลขนาดใหญ่เข้ากับคลังข้อมูลที่จับต้องได้ เพื่อใช้งานกับข้อมูลที่มีโครงสร้าง (structured), ไม่มีโครงสร้าง (non-structured), ของบุคคลที่สาม (third-party) และภายในองค์กรเอง (in house) ซึ่งจะทำให้องค์กรเข้าถึงข้อมูลเชิงลึกได้ง่ายดายยิ่งขึ้น แต่ “ความพยายาม” จะอยู่ในขั้นตอนต่อไป ได้แก่ การดึงข้อมูลที่ต้องการจากระบบ เช่น ข้อมูลเกี่ยวกับการชำระค่าใช้บริการ, เน็ตเวิร์กและ CRM และการดูแลรักษาทะเลสาบดาต้าขององค์กร ซึ่งใช้ทั้งเวลาและเงิน โดยข้อมูลที่ได้มาควรจะเป็นข้อมูลที่อัพเดทและพร้อมสำหรับการวิเคราะห์ในขั้นต่อไป

    ลองเปรียบเทียบดาต้ากับน้ำมัน ในปีพ.ศ. 2555 บนรายการทีวีชื่อดังรายการหนึ่งในสหรัฐอเมริกา พิธีกรถามความเห็นของนักลงทุนชื่อดังอย่าง แอน วินบาลด์ ว่า “the next big thing” หรืออนาคตแห่งการลงทุนจะไปในทิศทางใด เธอตอบว่า “เรากำลังเข้าสู่ยุคสมัยที่ดาต้าสำคัญกว่าน้ำมัน”
 
     ซึ่งผมมองว่านี่เป็นวิธีที่ดีที่สุดที่เราจะทำความเข้าใจกับบิ๊กดาต้า ถ้าเรานำตัวอย่างดังกล่าวมาประยุกต์เข้ากับรูปแบบบิ๊กดาต้า 3 สัดส่วนของผม จะพบว่า “ของเล่น” และ “หัวใจหลัก” เปรียบว่าเป็นเครื่องยนต์สันดาปและรถยนต์ ส่วน “ความพยายาม” จะเปรียบเป็นการกลั่นน้ำมันดิบให้เป็นปิโตเลียม เพราะหากเครื่องยนต์สันดาปและรถยนต์ไม่ได้รับความนิยม ปิโตเลียมก็จะไม่มีประโยชน์ และน้ำมันดิบก็จะไม่ได้ถูกใช้งาน ซึ่งก็เหมือนดาต้า เพราะการพัฒนาระบบการเรียกข้อมูลที่ดี จะทำให้การวิเคราะห์และการคิดค้นเทคโนโลยีใหม่ๆมีประโยชน์มากขึ้น
 
     Gartner ตอกย้ำความคิดนี้ โดยการคาดการณ์ว่าบริษัทลงทุนเงินประมาณ 4 แสน 4 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐสำหรับโครงการบิ๊กดาต้าในปีนี้ โดยเงินลุงทุนส่วนใหญ่จะใช้สำหรับการพัฒนาบริการสำหรับการเปลี่ยนแปลงองค์กรให้เป็นธุรกิจที่ขับเคลื่อนโดยดาต้า
 
     ดังนั้น แม้ว่าการตัดบิ๊กดาต้าออกจากเทรนด์หน้าใหม่จะดูเป็นเรื่องที่เร็วไป แต่ผู้คนในวงการจัดการดาต้าคงจะเห็นด้วยกับผมว่ามีสิ่งหนึ่งที่ชัดเจนมากสำหรับหัวข้อนี้ บิ๊กดาต้ากำลังจะกลายเป็นปัจจับสำคัญในการเพิ่มมูลค่าทางธุรกิจ
 

RECCOMMEND: MARKETING

รู้จัก FOMO Marketing กลยุทธ์ปลุกความกลัวพลาด ที่ช่วยเร่งยอดขายโต

ลูกค้าไม่ได้ซื้อเพราะอยากได้เสมอไป แต่ซื้อเพราะ ‘กลัวพลาด’ รู้จัก FOMO Marketing กลยุทธ์ต้นทุนต่ำที่ช่วยให้ SME ปิดการขายได้ไวขึ้น

รวมกับดักการตลาด ที่กำลัง “ฆ่า” SME แบบไม่รู้ตัว ดูวิธีรอดที่ทำได้ทันที

พาไปแกะทีละข้อ ว่าทำไม “สูตรยิงแอด” หรือ “สูตรทำคอนเทนต์” ที่เวิร์กกับคนอื่น ถึงไม่เวิร์กกับคุณ พร้อมชี้ทางออก ที่จะทำให้การสื่อสารแบรนด์กลับมา “เข้าเป้า” ได้จริง

Color Psychology: จิตวิทยาเรื่องสี ที่แบรนด์ใหญ่ใช้เพิ่มยอดขาย

สี…ก็เปลี่ยนยอดขายได้ ทำไม Facebook ใช้สีน้ำเงิน? ทำไม Chanel ถึงเลือกสีดำทอง? ทำไมฟาสต์ฟู้ดต้องสีแดง-เหลือง? คำตอบอยู่ที่ “Color Psychology” จิตวิทยาของสีที่แบรนด์ใหญ่ใช้สร้างกำไรมาแล้วทั่วโลก