ยิ่งช้อป ยิ่งได้ เร่งยอดขายออนไลน์ด้วยแคชแบ็ก

 


เรื่อง : ประสิทธิ์ วรฉัตราวณิช 
        ผู้เชี่ยวชาญการตลาดดิจิทัลและอี-คอมเมิร์ซ
 
 
 
    ว่ากันว่า “เหนือกว่าลดราคา คือ การได้เงินคืน” ด้วยเหตุนี้โปรโมชั่นที่โดนใจผู้บริโภคไปเต็มๆ ก็คงหนีไม่พ้น การที่ลูกค้าได้เงินคืนกลับมาบางส่วนหลังจากช้อปสินค้าไปแล้ว หรือที่เรียกว่า แคชแบ็ก (Cashback) ซึ่งจากประสบการณ์ตรง เวลาที่ร้านค้าทำโปรโมชั่นลักษณะนี้ พบว่า ลูกค้าไม่ยักบ่นว่าเสียเวลาแม้จะต้องต่อแถวยาว เพื่อรอรับเงินดังกล่าว และเมื่อไอเดียนี้ถูกนำมาใช้กับธุรกิจออนไลน์ที่ไม่ต้องยืนรอต่อแถว แต่ต้องแลกกับการได้เงินคืนหลังจากนั้นเป็นเดือน ลูกค้าก็ไม่บ่นสักคำ หนำซ้ำยังกระหน่ำช้อปปิ้งต่อไป เพื่อสะสมยอดแคชแบ็ก หรือการได้รับคูปองที่มีมูลค่ามากกว่าซะงั้น
 
 
    ปรากฏการณ์ดังกล่าวได้จุดประกายให้กับธุรกิจ Startup รายหนึ่งที่นำคอนเซ็ปต์ของการได้รับแคชแบ็ก และคูปองมาสร้างเป็นเว็บไซต์ธุรกิจจนประสบความสำเร็จสูงสุดในประเทศอินเดียขณะนี้ อีกทั้งเมื่อปลายปีที่ผ่านมาทางเว็บไซต์ยังสามารถระดมทุนได้สูงถึง 3.8 ล้านดอลลาร์ฯ (ประมาณ 137 ล้านบาท) หลังจากเปิดแผนบุกตลาดภาคพื้นเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ให้กับนักลงทุน
 
 
    สำหรับธุรกิจออนไลน์จากแดนภารตะรายนี้มีชื่อว่า CashKaro (www.cashkaro.com) ก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ.2556 โดยคู่สามีภรรยา โรฮาน และ สวาติ บาห์กาวา (Rohan & Swati Bhargava) ซึ่งจากประวัติของธุรกิจเล่าว่า ภรรยาสาวเป็นผู้มีพรสวรรค์ทางด้านคณิตศาสตร์ และเป็นผู้ที่มองเห็นโอกาสจากสิ่งที่หลายคนมองข้าม และถึงแม้ผู้คนที่ได้รับทราบโมเดลธุรกิจในตอนต้นจะบอกพวกเขาว่า มันเป็นเรื่องยากที่จะสร้างธุรกิจนี้ให้เกิดขึ้นได้ และรู้สึกเสียดายที่เธอลาออกจากงานที่กำลังรุ่ง เพื่อมาทำสิ่งนี้ 
 
    
    อย่างไรก็ตาม เขาทั้งสองก็ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า หากมีความเชื่อมั่นศรัทธา และรักในธุรกิจที่ทำมันย่อมเป็นไปได้ แถมยังประสบความสำเร็จอย่างสูงอีกด้วย

 
 
 
CashKaro ยิ่งช้อปมากยิ่งได้ (คืน) มาก
 
    ความจริง CashKaro ไม่ได้เป็นรายแรกที่นำเอาไอเดียแคชแบ็กมาสร้างเป็นธุรกิจออนไลน์ แต่รุ่นเก๋าในวงการนี้คือ Ebates.com ที่เปิดตัวมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2541 โดยในช่วง 2 ปีแรกที่เปิดทำการ มีการให้ข้อเสนอแคชแบ็กกับลูกค้าสูงสุดถึง 25 เปอร์เซ็นต์ เมื่อไปช้อปในร้านค้าออนไลน์พันธมิตรที่มีอยู่ประมาณ 40 ร้าน (ปัจจุบันมีมากกว่า 1,800 ร้านแล้ว) ถึงตรงนี้ คุณผู้อ่านบางท่านอาจจะยังไม่เข้าใจว่า CashKaro ทำธุรกิจนี้ได้อย่างไร? และพวกเขามีรายได้จากไหน? แน่นอนว่า มันย่อมไม่ได้มาจากนักลงทุนเพียงอย่างเดียว เพราะฉะนั้นเรามาทำความรู้จักกับธุรกิจลักษณะนี้กันดีกว่าครับ 
 
 
    โดยพื้นฐาน เว็บไซต์ CashKaro จะทำหน้าที่เป็นตัวกลางระหว่างเว็บไซต์ช้อปปิ้ง และนักช้อปออนไลน์ โดยผู้สนใจใช้บริการจะต้องสมัครเป็นสมาชิกกับ CashKaro เพื่อได้รับสิทธิ์ในการเข้าไปดูข้อเสนอต่างๆ จากบรรดาร้านค้าออนไลน์กว่า 1,000 แห่ง ซึ่งเมื่อสมาชิกพบข้อเสนอที่สนใจ ก็จะเข้าไปช้อปสินค้าดังกล่าวจากร้านค้าออนไลน์เหล่านั้น 
 
    ในขณะเดียวกัน ทาง CashKaro ก็จะเก็บยอดแคชแบ็กของสมาชิกไว้ให้ด้วย โดยเมื่อยอดสะสมถึง 250 รูปี (หรือคิดเป็นเงินไทยประมาณ 135 บาท) สมาชิกจึงจะสามารถแจ้งให้ทางเว็บไซต์โอนเงินดังกล่าวเข้าไปในบัญชีธนาคารของตน หรือจะเปลี่ยนเป็นคูปองที่มีมูลค่ามากกว่า เพื่อนำไปใช้ช้อปปิ้งจากร้านค้าพันธมิตรของทางเว็บไซต์ก็ได้ งานนี้ไม่เลือกเอาเงินคืน ก็ได้เป็นคูปองส่วนลดที่มากกว่าในการช้อปปิ้งครั้งต่อไป ซึ่งไม่ว่าจะเป็นคำตอบไหน ลูกค้าก็แฮปปี้อย่างแน่นอน โดยเท่าที่ดูข้อเสนอของร้านค้าออนไลน์ต่างๆ บนเว็บไซต์ CashKaro นอกจากจะมีส่วนลดที่เร้าใจในระดับ 50-70 เปอร์เซ็นต์ แล้ว ยังมีแคชแบ็กให้สูงถึง 15 เปอร์เซ็นต์อีกด้วย เชื่อว่านักช้อปที่พบเห็นข้อเสนอเหล่านี้คงยากที่จะปฏิเสธ 
 
 
 
แล้ว CashKaro มีรายได้จากไหน?
 
    สำหรับประเด็นนี้ สวาติได้เคยให้สัมภาษณ์กับทางเว็บไซต์ TechCrunch ไว้ว่า CashKaro มีรายได้จากค่านายหน้า (Commission) จากเหล่าบรรดาร้านค้าออนไลน์พันธมิตร โดยมีตั้งแต่ 1 เปอร์เซ็นต์ไปจนถึง 30 เปอร์เซ็นต์ ขึ้นอยู่กับนโยบายของแต่ละร้าน และหมวดสินค้า ซึ่งเงินดังกล่าวประมาณ 75-90 เปอร์เซ็นต์ ทาง CashKaro จะใช้เป็นแคชแบ็กคืนให้กับลูกค้าในรูปของเงินสด โดยโอนเข้าบัญชีธนาคารของสมาชิก จากกติกาดังกล่าว นั่นหมายความว่า ตัวธุรกิจเองมีรายได้แค่ 10-25 เปอร์เซ็นต์ของค่านายหน้า 
 
    แล้วพวกเขาอยู่ได้อย่างไร คำตอบคือ เนื่องจากยอดการช้อปปิ้งสินค้าของสมาชิกเว็บไซต์ในแต่ละเดือนมากกว่า 10 ล้านดอลลาร์ฯ (คิดง่ายๆ จากส่วนแบ่งเปอร์เซ็นต์ค่านายหน้า CashKaro จะมีรายได้ไม่เกิน 2 แสนดอลลาร์ฯ) นอกจากนี้ ทางเว็บไซต์ยังมีรายได้เพิ่มเติมที่สำคัญจากโฆษณาบนเว็บไซต์อีกด้วย ล่าสุดเว็บไซต์มีแคชแบ็กสะสมของลูกค้าตั้งแต่เปิดทำการในปี พ.ศ.2556 จนถึงปัจจุบันมากกว่า 5 ล้านดอลลาร์ฯ (ประมาณ 180 ล้านบาท) เรียกได้ว่า เป็นธุรกิจที่ไม่เล็กเลย อีกทั้งยังมีการประเมินอีกด้วยว่า ในปี พ.ศ.2563 ยอดการซื้อสินค้าบนเว็บไซต์อี-คอมเมิร์ซในอินเดียจะเติบโตมากกว่าแสนล้านดอลลาร์ฯ นั่นหมายความว่า CashKaro จะยังคงมีโอกาสเติบโตได้อีกมาก แม้จะมีรายได้จากเปอร์เซ็นต์ส่วนน้อยของค่านายหน้า และโฆษณาบนเว็บไซต์ 
 
 
 
คุณค่าแคชแบ็ก = สองเท่าของส่วนลด
 
    จากพฤติกรรมของลูกค้าออนไลน์ที่ต้องการสิ่งที่พิเศษมากกว่าส่วนลด ซึ่งหากเปรียบส่วนลดคือ คุณค่าที่ลูกค้าได้รับ การให้แคชแบ็กในความรู้สึกของลูกค้า ว่ากันว่า มันมีค่าเป็น “สองเท่า” ของส่วนลดเลยทีเดียว อีกทั้งยังมีการเปรียบเปรยว่า คุณค่าของแคชแบ็กที่ลูกค้าได้รับ มันเหมือนกับการได้เค้กที่แต่งหน้าด้วยน้ำตาลไอซิ่ง เพราะมันไม่ละลายเหมือนน้ำตาล ด้วยคำอ้างและคำเปรียบเปรยเหล่านี้ ทำให้โมเดลอี-คอมเมิร์ซที่เพิ่มโอกาสให้ลูกค้าในรูปแบบยิ่งช้อปยิ่งได้คืนแคชแบ็ก กลายเป็นอีกหนึ่งโมเดลที่มีอนาคต 
 
    แม้ CashKaro จะไม่ใช่เจ้าแรกที่ใช้โมเดลนี้ อีกทั้งยังดูเหมือนเป็นการโคลนนิ่ง Ebates มาด้วยซ้ำ แต่การเกิดของธุรกิจที่ถูกสถานที่ และถูกเวลา โดยเฉพาะในประเทศอินเดียทำให้ CashKaro เติบโตได้อย่างรวดเร็ว แถมล่าสุดยังสามารถระดมทุนเพิ่ม เพื่อรุกตลาดต่างประเทศในแถบเอเชียอีกด้วย ผมหวังว่า ทั้งโมเดลและความสำเร็จของธุรกิจนี้จะช่วยจุดประกาย และช่วยสร้างแรงบันดาลใจให้คุณผู้อ่านที่กำลังเริ่มทำ หรือกำลังดำเนินธุรกิจอยู่แล้ว ได้นำไปใช้ในการต่อยอดให้ธุรกิจของตัวเองมีความเจริญก้าวหน้ามากยิ่งขึ้นเรื่อยๆ นะครับ แล้วพบกันใหม่เล่มหน้า สวัสดีครับ
 
 
www.smethailandclub.com
ศูนย์รวมข้อมูลธุรกิจเอสเอ็มอี
 

RECCOMMEND: MARKETING

6 เทรนด์เมนูมาแรง ปี 2026 ที่ธุรกิจอาหาร-เครื่องดื่ม ต้องรู้ก่อนพลาดโอกาส!

เมนูที่ดีไม่เพียงทำให้คน “อยากกิน” แต่ยังทำให้คน “อยากแชร์” อีกด้วย วันนี้จะพาไปรู้จักกับ 6 เทรนด์เมนูอาหารและเครื่องดื่มต้อนรับปี 2026

ธุรกิจเล็กก็ชนะได้ ถ้าเข้าใจ Trust Economy กลยุทธ์ใหม่ที่เร่งยอดขายได้จริง ในยุคที่ความเชื่อใจขาดแคลน

ธุรกิจเล็กอาจไม่มีงบมาก แต่ถ้ารู้จัก “Trust Economy” ก็สร้างแบรนด์ให้เติบโตเร็วกว่าได้ แม้ไม่มีงบโฆษณาหลักล้าน เพราะในยุคที่ข้อมูลปลอม รีวิวปลอม และการตลาดที่พูดเกินจริงล้นโซเชียล “ความเชื่อใจ” กลายเป็นสินค้าหายากที่สุดในตลาดวันนี้

เสื้อยืดไก่ทอดหาดใหญ่ แฟชั่นอร่อย ไอเดียขายเสื้อสุดครีเอท ใครเห็นก็อยากลองซื้อไปกิน เอ้ย! ลองใส่

ไอเดียเสื้อยืดลายไก่ทอดหาดใหญ่ ที่หยิบเอากระดาษห่อข้าวเหนียวไก่ทอด หมูทอด มาทำเป็นแพ็กเกจจิ้งสินค้า และเพิ่มความเหมือนอารมณ์ข้าวเหนียวไก่ทอดแท้ๆ ยิ่งเข้าไปอีก ด้วยการปริ้นกระดาษเป็นรูปห่อน้ำจิ้มติดเอาไว้ด้วย