R&D กับนวัตกรรมเอสเอ็มอีควรเลือกทำอะไร?

 






 เรื่อง : เกียรติอนันต์ ล้วนแก้ว 
            คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
             kiatanantha.lou@dpu.ac.th



    

“ธุรกิจมีหน้าที่แค่สองอย่าง ขายของและสร้างนวัตกรรม”
มิลาน คุนเดอรา


    จากการวิเคราะห์แนวโน้มการพัฒนาทางเทคโนโลยีในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ผู้เชี่ยวชาญในวงการเทคโนโลยีเชื่อกันว่า อีกประมาณ 20-30 ปีข้างหน้า เทคโนโลยีที่เราใช้จะมีความก้าวหน้าว่าเทคโนโลยีในวันนี้นับร้อยเท่า การคาดการณ์นี้สอดคล้องกับความเป็นจริงที่ว่า สินค้าไฮเทคในปัจจุบันอาจกลายเป็นของล้าสมัยไปได้ในเวลาไม่กี่เดือน ความเชื่อที่ยึดถือกันมาเป็นเวลานาน อาจถูกแนวคิดใหม่ๆ หักล้างได้อย่างรวดเร็ว 


   ในทำนองเดียวกัน กลยุทธ์ต่างๆ ที่ SME เคยใช้แล้วประสบความสำเร็จในอดีต อาจมิใช่กลยุทธ์ที่ดีอีกต่อไป ดังนั้น หนทางจะรับมือกับการเปลี่ยนแปลงได้นั้น ก็คือสร้างความพร้อมที่จะเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ ปัจจัยสำคัญในการสร้างความพร้อมดังกล่าวคือ ความสามารถในการวิจัยและพัฒนา (R&D) และการทำนวัตกรรม (Innovation)


    ประเด็นก็คือ SME จำนวนไม่น้อยยังไม่แน่ใจว่า 2 คำนี้แตกต่างกันอย่างไร แล้วแบบไหนที่ SME ควรให้ความสำคัญมากกว่ากัน ความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนนี้เองที่ทำให้เชื่อกันว่า การทำนวัตกรรมกับการวิจัยและพัฒนา คือเรื่องเดียวกัน อาจเป็นเพราะกิจกรรมทั้ง 2 แบบมีความสลับซับซ้อน ประกอบกับความเชื่อที่ว่า การจะทำกิจกรรม 2 อย่างนี้ต้องใช้บุคลากรที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง และจำเป็นต้องมีการลงทุนเป็นจำนวนมาก จึงเป็นกิจกรรมสำหรับธุรกิจใหญ่เท่านั้น ธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็กจึงไม่มีทรัพยากรพอที่จะทำเช่นนั้นได้ 


    อันที่จริงแล้ว ทั้งการทำการวิจัยและพัฒนาและนวัตกรรมไม่จำเป็นต้องใช้ทรัพยากรเป็นจำนวนมหาศาลเสมอไป การทดลองเล็กๆ น้อยๆ เช่น การปรับเปลี่ยนส่วนผสมของวัตถุดิบในอาหารที่ผลิต การทดลองดัดแปลงอุปกรณ์เครื่องมือเครื่องใช้ต่างๆ หรือแม้กระทั่งการศึกษารายละเอียดของผลิตภัณฑ์ของคู่แข่งที่มีความแตกต่างกับสินค้าที่ผลิตอยู่ในตอนนี้ ก็ถือว่าเป็นกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการวิจัยและพัฒนาได้เช่นกัน


    ปัจจัยพื้นฐานประการหนึ่งซึ่งจะช่วยให้บริษัทสามารถดำเนินกิจกรรมการวิจัยและพัฒนาและการทำนวัตกรรมได้อย่างประสบความสำเร็จคือ การเข้าใจถึงความหมายและความแตกต่างของกิจกรรมทั้ง 2 อย่างนี้ในที่นี้จึงขอยกคำนิยามของการวิจัยและพัฒนาและนวัตกรรม ที่สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ได้ให้ไว้มาเปรียบเทียบเพื่อให้เห็นความแตกต่าง



    การวิจัยและพัฒนา หมายถึง การสร้างสรรค์ผลงานอย่างเป็นระบบ เพื่อจะสร้างหรือปรับปรุงผลิตภัณฑ์ กระบวนการ บริการ หรือการประยุกต์ใช้อื่นๆ โดยการวิจัยและพัฒนาจะแบ่งได้เป็น 3 ระดับ คือ

•    การวิจัยพื้นฐาน เป็นการสร้างความรู้ใหม่ที่อาจจะไม่สามารถนำไปใช้ในทางปฏิบัติได้ทันที เช่น การศึกษาถึงสารเคมีชนิดหนึ่งที่ผีเสื้อหลั่งออกมาในตอนกลางคืนว่ามีองค์ประกอบอะไรบ้าง 

•    การวิจัยประยุกต์ เป็นการนำเอาผลที่ได้จากการวิจัยพื้นฐานมาพัฒนาต่อเพื่อใช้ประโยชน์ ซึ่งในขั้นนี้จะเป็นการศึกษาถึงประโยชน์ในด้านต่างๆ ที่จะได้รับจากสารเคมีที่สกัดออกมาจากตัวผีเสื้อ 

•    การพัฒนาเชิงทดลอง เป็นการนำเอาความรู้ที่ได้จากการวิจัยในสองขั้นแรกมาใช้ประโยชน์ในการสร้างสิ่งใหม่ หรือปรับปรุงสิ่งที่มีอยู่แล้วให้มีความก้าวหน้าขึ้น จากตัวอย่างที่ยกมานี้ การวิจัยในขั้นสุดท้ายนี้



    อาจทำให้เกิดสินค้าตัวใหม่ เช่น น้ำหอมกันยุง เครื่องสำอาง ยารักษาโรคเบาหวาน หรืออาจทำให้น้ำหอมกันยุงที่มีอยู่แล้วสามารถเก็บรักษาได้นานขึ้น เครื่องสำอางติดทนนานขึ้น ยารักษาโรคเบาหวานมีประสิทธิภาพในการรักษามากขึ้น เป็นต้น

    นวัตกรรม หมายถึง ความสามารถในการใช้ความรู้ ทักษะ และประสบการณ์ทางเทคโนโลยีเพื่อพัฒนาและผลิตสินค้าใหม่ กระบวนการผลิตใหม่ หรือบริการใหม่ซึ่งตอบสนองความต้องการของตลาด ทั้งนี้ นวัตกรรมแบ่งได้เป็น 2 แบบด้วยกัน คือ นวัตกรรมด้านผลิตภัณฑ์ (Product Innovation) ที่เน้นการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ หรือปรับปรุงผลิตภัณฑ์ที่มีอยู่ให้แตกต่างจากผลิตภัณฑ์ที่มีอยู่อย่างเห็นได้ชัด และนวัตกรรมด้านกระบวนการ (Process Innovation) ซึ่งเป็นการปรับปรุงหรือเปลี่ยนแปลงกระบวนการผลิตเพื่อให้มีประสิทธิภาพในการผลิตมากขึ้น


    ตัวอย่างของนวัตกรรมด้านผลิตภัณฑ์ ได้แก่ การพัฒนาเครื่องยนต์ที่ใช้น้ำเป็นพลังงานแทนน้ำมัน การปรับปรุงคุณภาพของโทรศัพท์มือถือให้สามารถรับ-ส่งข้อมูลได้รวดเร็วขึ้นและมีขนาดกะทัดรัดลง ส่วนตัวอย่างของนวัตกรรมด้านกระบวนการ ได้แก่ การใช้คอมพิวเตอร์เข้ามาควบคุมกระบวนการผลิตชิ้นส่วนเครื่องยนต์ที่ต้องใช้ความแม่นยำสูง เพื่อลดความผิดพลาดในการผลิต และเพิ่มความรวดเร็วในการผลิตชิ้นส่วนเครื่องยนต์ให้มากขึ้น 


    การทำนวัตกรรมทั้ง 2 ประเภทนี้ต่างก็สอดคล้องกับกลยุทธ์การแข่งขันที่ ไมเคิล อี.พอร์ตเตอร์ ได้เสนอเอาไว้ เกี่ยวกับการสร้างความแตกต่างและการลดต้นทุนเพื่อเครื่องมือในการสร้างและรักษาความสามารถในการแข่งขัน จะเห็นได้ว่า การวิจัยและพัฒนานั้น เน้นหนักไปใน “การสร้างสรรค์ผลงานที่สามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้” ซึ่งแตกต่างจากการทำนวัตกรรมที่ให้ความสำคัญกับ “ความสามารถในการใช้ความรู้ ทักษะ และประสบการณ์เพื่อสร้างความแตกต่าง หรือการเพิ่มประสิทธิภาพ”


    ธุรกิจที่ไม่ได้มีการวิจัยและพัฒนาอย่างเข้มข้น แต่รู้จักการจัดการและใช้ประโยชน์จากความรู้ที่มีอยู่อย่างชาญฉลาดก็สามารถทำให้เกิดนวัตกรรมใหม่ๆ ได้อย่างต่อเนื่อง ในทางตรงกันข้าม การส่งเสริมให้มีกิจกรรมด้านการวิจัยและพัฒนาเพียงอย่างเดียว ก็มิได้เป็นหลักประกันว่าจะสามารถสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ ขึ้นมาได้เช่นกัน 


    แม้กระนั้นก็ตาม เรามิอาจกล่าวได้ว่าการวิจัยและพัฒนาและการทำนวัตกรรมนั้นเป็นกิจกรรมที่ไม่เกี่ยวข้องกัน เพราะความรู้ที่ได้จากการวิจัยและพัฒนามีส่วนส่งเสริมความสามารถในการทำนวัตกรรมให้เพิ่มขึ้นได้ และเช่นเดียวกัน ความรู้ที่ได้จากการทำนวัตกรรมเองก็มีส่วนสนับสนุนให้เกิดความก้าวหน้าในการวิจัยและพัฒนา ดังนั้น สิ่งที่ท้าทายก็คือ การใช้ศาสตร์และศิลป์ในการจัดการความรู้อย่างเหมาะสมเพื่อให้การวิจัยและพัฒนากับการทำนวัตกรรมเป็นกิจกรรมที่เกื้อกูลซึ่งกันและกัน


    แม้ว่าการวิจัยและพัฒนาและการทำนวัตกรรมนี้ก็เปรียบเสมือนรางรถไฟที่จะต้องสร้างคู่กันไปเสมอ เพื่อให้บริษัทสามารถมุ่งไปข้างหน้าได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน แต่ถ้าให้แนะนำก็ขอแนะนำว่า ให้มุ่งสร้างนวัตกรรมก่อน เพราะลงทุนน้อยกว่า และเห็นผลเร็ว พอเริ่มเก่ง ทุนมากขึ้น ค่อยขยับไปทำวิจัยและพัฒนาเต็มรูปแบบทีหลังจะดีกว่า

www.smethailandclub.com
ศูนย์รวมข้อมูลธุรกิจเอสเอ็มอี

RECCOMMEND: MARKETING

รู้จัก FOMO Marketing กลยุทธ์ปลุกความกลัวพลาด ที่ช่วยเร่งยอดขายโต

ลูกค้าไม่ได้ซื้อเพราะอยากได้เสมอไป แต่ซื้อเพราะ ‘กลัวพลาด’ รู้จัก FOMO Marketing กลยุทธ์ต้นทุนต่ำที่ช่วยให้ SME ปิดการขายได้ไวขึ้น

รวมกับดักการตลาด ที่กำลัง “ฆ่า” SME แบบไม่รู้ตัว ดูวิธีรอดที่ทำได้ทันที

พาไปแกะทีละข้อ ว่าทำไม “สูตรยิงแอด” หรือ “สูตรทำคอนเทนต์” ที่เวิร์กกับคนอื่น ถึงไม่เวิร์กกับคุณ พร้อมชี้ทางออก ที่จะทำให้การสื่อสารแบรนด์กลับมา “เข้าเป้า” ได้จริง

Color Psychology: จิตวิทยาเรื่องสี ที่แบรนด์ใหญ่ใช้เพิ่มยอดขาย

สี…ก็เปลี่ยนยอดขายได้ ทำไม Facebook ใช้สีน้ำเงิน? ทำไม Chanel ถึงเลือกสีดำทอง? ทำไมฟาสต์ฟู้ดต้องสีแดง-เหลือง? คำตอบอยู่ที่ “Color Psychology” จิตวิทยาของสีที่แบรนด์ใหญ่ใช้สร้างกำไรมาแล้วทั่วโลก