จับตา FTA ไทยกับชาติตะวันตกผู้ประกอบการไทยต้องพร้อมรับมือ

 

 
ข้อมูลโดย : ศูนย์วิจัยกสิกรไทย
 
เครดิตรูปภาพ :  http://www.friendsofets.eu/
 
การเจรจาความตกลงเขตการค้าเสรีระหว่างสหภาพยุโรปและสหรัฐฯ (Transatlantic Trade and Investment Partnership หรือ T-TIP) ได้เปิดฉากขึ้นเมื่อวันที่ 8-12 ก.ค. ที่ผ่านมา โดยสาระสำคัญของการเจรจาในรอบแรกนั้น เริ่มต้นด้วยการร่วมวางกรอบเจรจาที่จะครอบคลุมหลายประเด็นสำคัญ  เพื่อปูทางการเจรจาในรายละเอียดของรอบถัดไป ทั้งนี้ท่าทีของทั้งสองฝ่ายค่อนข้างจะกระตือรือร้นที่จะผลักดันให้กรอบเจรจาดังกล่าวสามารถบรรลุข้อตกลงที่จะยังประโยชน์ร่วมกัน สำหรับการเจรจาในรอบที่สองนี้เกิดขึ้นในระหว่างวันที่ 11-15 พ.ย. (ซึ่งช้ากว่าที่ได้กำหนดไว้เบื้องต้นในวันที่ 7-11 ต.ค. อันเนื่องมาจาก Government Shutdown ของฝั่งสหรัฐฯ)  โดยในรอบนี้จะเป็นการเจรจาในสาขา บริการ พลังงาน วัตถุดิบการผลิต และการกำหนดเกณฑ์ร่วมกัน ศูนย์วิจัยกสิกรไทยจึงได้นำประเด็นที่น่าสนใจและจะมีนัยยะต่อผู้ประกอบการไทยในเชิงธุรกิจดังนี้
 
T-TIP อีกหนึ่งกลไกที่จะกำหนดอนาคตทิศทางการค้าการลงทุนโลก
 
T-TIP ถือได้ว่าเป็นอีกหนึ่งก้าวหนึ่งที่นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงรูปแบบการค้าและการลงทุนของโลก ทั้งยังเป็นหนึ่งเครื่องชี้ที่จะกำหนดทิศทางเศรษฐกิจการค้าโลกในระยะข้างหน้าด้วยรูปแบบของการเจรจาการค้าแบบใหม่ที่ มุ่งเล็งผลเลิศ (Ambitious) ครอบคลุมหลายสาขา (Comprehensive) ด้วยเกณฑ์มาตรฐานขั้นสูง (High-standard)
 
      ไม่เพียงเท่านั้น ด้วยผู้เล่นจากทั้งสองฝั่งต่างเป็นผู้กุมบังเหียนการขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลกด้วยมูลค่าทางเศรษฐกิจรวมในปี 2555 ถึง 28.4 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือร้อยละ 45.6 ของเศรษฐกิจทั้งโลก ผนวกกับมูลค่าการค้าระหว่างประเทศจากทั้งคู่ที่ระดับ 14.5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือร้อยละ 44.0 ของมูลค่าการค้าโลก              การขยับแต่ละก้าวของทั้งสหรัฐฯและสหภาพยุโรปย่อมจะมีผลต่อการค้า การลงทุนรวมถึงทิศทางเศรษฐกิจของทั้งคู่และโยงใยไปยังประเทศอื่นๆตามไปด้วย 
 
ซึ่งจากผลการศึกษาเบื้องต้นซึ่งจัดทำโดย The Center for Economic Policy Research (CEPR) ของประเทศอังกฤษ ระบุว่าหากการเจรจา T-TIP สำเร็จลุล่วง ในกรณี Best Case จะยังประโยชน์ให้กับสหรัฐฯ 94.9 พันล้านยูโรต่อปี สหภาพยุโรป 119.2 พันล้านยูโรต่อปี และจะมีผลบวกต่อประเทศอื่นๆในโลกอีก 99.1 พันล้านยูโรต่อปี โดยในนั้นจะเพิ่มอานิสงส์ทางเศรษฐกิจให้กับประเทศในกลุ่มอาเซียน 29.8 พันล้าน ยูโรต่อปี
 
      โดยผลจาก Trade Spill-over Effect จะทำให้การส่งออกของอาเซียนเติบโตขึ้นที่ร้อยละ 2.3 ต่อปีผลบวกจาก Trade Spill-over Effect มาจากสองปัจจัยหลักคือ
 
1) กรณีที่ธุรกิจประเทศที่สามย้ายฐานการลงทุน ไปยัง 1 ในสองของกลุ่มคู่เจรจา จะสามารถใช้สิทธิประโยชน์ทางการค้าเพื่อส่งออกไปยังประเทศคู่เจรจาอีกฝ่ายได้ และธุรกิจที่ย้ายฐานไปนั้นอาจจะสั่งสินค้าขั้นต้นหรือขั้นกลางจากประเทศอื่นๆ เพื่อเป็นวัตถุดิบในการผลิตมากขึ้น  
 
2) กรณีที่ประเทศที่สามสามารถลดต้นทุนในส่วนของกระบวนผลิต สืบเนื่องจากการปรับใช้มาตรฐานเชิงคุณภาพในแบบเดียวกัน ซึ่งหากตีความในเชิงธุรกิจแล้ว ผู้ประกอบธุรกิจไทยน่าจะได้รับอานิสงส์จาก T-TIP ทั้งในแง่ของโอกาสการขยายการลงทุนไปยังกลุ่มประเทศคู่เจรจา ในขณะเดียวกัน สำหรับผู้ประกอบการที่มีฐานการผลิตในประเทศซึ่งส่งออกไปยังสหรัฐฯหรือสหภาพยุโรปเป็นหลัก T-TIP น่าจะมีส่วนช่วยลดต้นทุนการผลิตได้ หากในอนาคตสหรัฐฯและสหภาพยุโรปจะปรับใช้มาตรฐานตามที่ตกลงกันภายใต้กรอบ T-TIP กับประเทศคู่ค้าอื่นๆ
 
T-TIP กับสองมิติหลักทางการค้าที่น่าสนใจ  
 
  ปัจจุบัน T-TIP ยังอยู่ในระหว่างขั้นตอนของการเจรจาซึ่งโดยรายละเอียดปลีกย่อยเชิงปฏิบัติยังไม่เป็นที่เปิดเผย แต่หากพิจารณาถึงประเด็นหลักที่อยู่ภายใต้จุดประสงค์สำคัญของทั้งสองฝ่ายน่าจะประกอบด้วย 
 
1. มุ่งกำจัดอุปสรรคทางการค้าในรูปแบบต่างๆ ทั้งในเชิงภาษีและไม่ใช่ภาษี 
 
2. ปรับเปลี่ยนเกณฑ์ ระเบียบหรือข้อบังคับ ให้มีความสอดคล้องอยู่บนพื้นฐานเดียวกันมากขึ้น เพื่อมุ่งแก้ไขปัญหาความล่าช้า (Red Tape) ประหยัดต้นทุนของผู้ประกอบธุรกิจ (Cost of Business Reduction) ที่จะเกิดขึ้นจากระเบียบที่มีความแตกต่าง ขณะที่ยังสามารถธำรงไว้ซึ่งอำนาจบังคับใช้เพื่อปกป้องสิทธิ ลดความเสี่ยงที่จะมีต่อสุขภาพ ความปลอดภัย สิ่งแวดล้อมและเสถียรภาพความปลอดภัยทางการเงิน ของประชาชนและธุรกิจทั้งสองฝั่งได้ครอบคลุม
 
  จากการประเมินทั้งสองมิติหลักที่จะเป็นส่วนสำคัญของการเจรจา T-TIP นี้ ผลเชิงประจักษ์ในส่วนของการกำจัดอุปสรรคทางการค้าเชิงภาษีนั้นอาจจะไม่เด่นชัดนัก เนื่องจากอัตราภาษีของทั้งสหรัฐฯ (ร้อยละ 2.58) และสหภาพยุโรป (ร้อยละ 2.43)  ค่อนข้างต่ำอยู่แล้ว แต่ประเด็นที่จะมีนัยยะเชิงผลกระทบมากกว่า น่าจะเป็นการปรับเปลี่ยนเกณฑ์ให้สอดคล้องบนพื้นฐานเดียวกันซึ่งจะมีผลส่งต่อไปยังระเบียบที่จะใช้กำหนดคุณภาพของการผลิตสินค้าในอนาคต
 
     เช่น มาตรฐานการผลิตของสินค้าอุตสาหกรรม และมาตรการเกี่ยวกับสุขอนามัยและสุขอนามัยพืช ซึ่งเป็นเครื่องมือที่สหรัฐฯและสหภาพยุโรปใช้ค่อนข้างแพร่หลายในปัจจุบัน โดยส่วนนี้จะเป็นส่วนที่ผู้ประกอบธุรกิจต้องติดตามอย่างใกล้ชิด เนื่องจากมีความเป็นไปได้ที่เกณฑ์ภายใต้ข้อตกลง T-TIP นี้จะนำมาปรับใช้กับประเทศคู่ค้าที่สาม หรือจะเป็นมาตรฐานสำหรับการค้าสมัยใหม่ต่อไปในอนาคต ศูนย์วิจัยกสิกรไทยได้ประมวลประเด็นหลักๆที่ควรติดตามสำหรับสินค้าที่ไทยค้าขายกับทั้งสหรัฐฯและสหภาพยุโรปในสัดส่วนค่อนข้างสูง ดังนี้ 
 
T-TIP กับมิติด้านการลงทุน  
 
  สำหรับมิติของ T-TIP ที่จะมีผลต่อการลงทุนระหว่างสหรัฐฯและสหภาพยุโรปนั้น ในเบื้องต้น T-TIP มุ่งมั่นที่จะกำหนดกรอบที่เกี่ยวข้องเพื่อส่งเสริมการลงทุนระหว่างกัน จากข้อมูลปี 2555 มูลค่าการลงทุนระหว่างสหรัฐฯและสหภาพยุโรปนั้นมีมูลค่า 3.85 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
 
      โดยเป็น FDI ที่วิ่งจากประเทศในกลุ่มสหภาพยุโรปสู่สหรัฐฯ 1.65 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และเป็นการลงทุนทางตรงจากสหรัฐฯเข้าสู่สหภาพยุโรป 2.2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ สะท้อนว่าทั้งคู่ต่างเป็นนักลงทุนรายใหญ่ของกันและกัน
 
     ทั้งนี้ สหรัฐฯได้ลงนามในความตกลงเชิงทวิภาคีว่าด้วยการลงทุน (Bilateral Investment Treaties) กับบางประเทศในสหภาพยุโรปไปแล้วได้แก่ บัลแกเรีย โครเอเชีย เชค เอสโทเนีย ลัทเวีย ลิทัวเนีย และโปแลนด์
 
    หากจะอ้างอิงความตกลงเชิงทวิภาคีดังที่ได้กล่าวไปข้างต้น ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดการณ์ว่า การเจรจาเกี่ยวกับการลงทุนในกรอบ T-TIP นี้น่าจะประกอบไปด้วย ประเด็นการไม่เลือกปฏิบัติต่อการควบรวมไปจนถึงการยกเลิกกิจการ (Non-discrimination from Acquisition to Disposition) การถอนทุน (Withdrawal of Funds)  และทางเลือกการไกล่เกลี่ยข้อพิพาท (Choice of Arbitration)
 
   โดยหัวข้อหลังได้รับความสนใจมากในส่วนของ การไกล่เกลี่ยข้อพิพาทระหว่างบริษัทผู้ลงทุนและรัฐภาคี (Investor-state Dispute Settlement, ISDS) ซึ่งน่าจะมุ่งเน้นไปยังรายละเอียดของขั้นตอนที่บริษัทผู้ลงทุนจะสามารถเลือกเข้าสู่กระบวนการระงับหรือไกล่เกลี่ยข้อพิพาทกับภาครัฐ ผ่านกระบวนการอนุญาโตตุลาการระหว่างประเทศ (International Arbitration)
 
     ดังนั้นหากเกิดกรณีตัวอย่าง เช่น สินค้าโดยผู้ผลิตต่างชาติถูกระงับการผลิต (Ban) ขณะที่สินค้าประเภทเดียวกันจากผู้ผลิตท้องถิ่นไม่ได้รับผลกระทบ ทั้งนี้ หากศาลท้องถิ่นไม่สามารถดำเนินการไกล่เกลี่ยได้อย่างครอบคลุม นักลงทุนต่างชาติสามารถข้อใช้สิทธิคุ้มครองภายใต้ ISDS เพื่อเรียกร้องขอค่าเสียหายจากที่การผลิตชะงักงัน หรือขอให้อนุญาโตตุลาการระหว่างประเทศเป็นผู้ไต่สวน ประเด็นนี้ถือเป็นประเด็นที่น่าสนใจโดยหากได้รับการผลักดันเข้าสู่การเจรจา T-TIP ก็น่าจะเป็นต้นแบบสำหรับการเจรจาในมิติการลงทุนสำหรับกรอบอื่นๆต่อไป 
 
T-TIP และประเด็นแวดล้อมอื่นๆ 
 
นอกเหนือจากการค้าและการลงทุนแล้ว เนื่องด้วย T-TIP เป็นการเจรจาทางการค้ารูปแบบใหม่ด้วยเกณฑ์มาตรฐานขั้นสูง จึงครอบคลุมหัวข้อเจรจาอื่นๆด้วย อาทิ กรรมสิทธิ์ในทรัพยสินทางปัญญา การจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ บทบาทของรัฐวิสาหกิจที่จะมีต่อความสามารถทางการแข่งขันของสินค้าบางประเภท และน่าจะมีรายละเอียดปลีกย่อยของการเจรจาในทุกด้านอย่างเข้มข้น
 
      แม้ว่าการเจรจา T-TIP ยังอยู่ในระหว่างการดำเนินการ แต่ท่าทีของทั้งสองฝ่ายได้สะท้อนถึงความต้องการที่จะให้ T-TIP มีความสมบูรณ์ ครอบคลุม ภายใต้ผลประโยชน์ที่ทั้งคู่รับได้ ในกรอบเวลาเจรจาที่สั้นที่สุดโดยได้มีการกำหนดหมายกำหนดการเจรจารอบที่ 3 แล้วในระหว่างวันที่ 16-20 ธ.ค.นี้ น่าจะมีส่วนกระตุ้นให้ภาคธุรกิจไทยที่มีธุรกรรมทางการค้าการลงทุนต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดหากหากสนใจที่จะรักษาและเจาะตลาดสหรัฐฯและสหภาพยุโรปในอนาคต  
 
 
 
 
 

RECCOMMEND: MARKETING

ฟังก์ชันแยกบิลจ่ายได้ เทรนด์ใหม่ที่ร้านอาหารต้องรู้ ลูกค้ายุคใหม่อยากจ่ายเท่าที่กินโดยไม่รู้สึกผิด

ไม่ใช่เรื่องต้องรู้สึกผิดอีกต่อไป หากไปกินอาหารกับเพื่อน แล้วอยากแยกรับผิดชอบจ่ายเฉพาะในส่วนที่ตัวเองสั่ง เทรนด์พฤติกรรมใหม่ของผู้บริโภคชาวอเมริกาที่หันมาใช้แอปพลิเคชันแยกจ่ายบิลกันมากขึ้น

ต่อยอดธุรกิจยังไงให้อยู่นานและขายดี กรณีศึกษา ALDI ซูเปอร์มาร์เก็ต ที่ถือกำเนิดมาตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่ 2

ALDI คือ ซูเปอร์มาร์เก็ตสัญญาติเยอรมัน มีต้นกำเนิดมาจาก 2 พี่น้องตระกูล Albrecht คือ “คาร์ล และ ธีโอ อัลเบรชต์” ที่รับช่วงต่อกิจการมาจากแม่ของเขาที่เปิดร้านขายของชำตั้งแต่ยุคก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2