​“ฮ่องกง” มองเมืองให้เป็นแบรนด์







     ผู้คนมักจะชอบพูดว่าชีวิตคือการเดินทาง แต่ผู้เขียนกลับมองว่าน่าจะเปลี่ยนสมการใหม่เป็นการเดินทางสร้างสีสันให้ชีวิตมากกว่า โดยเฉพาะการไป Business Trip ที่ฮ่องกง 3 วัน 2 คืนในครั้งนี้


     สีสันของการเดินทางครั้งนี้อยู่ที่การตั้งคำถามกับตัวเองเล่นๆ ว่า ถ้าหากเรามอง ฮ่องกง ให้เป็นแบรนด์จะเป็นอย่างไร จะมีบุคลิกแบบไหน มีความน่าสนใจมากน้อยแค่ไหน แล้วที่สำคัญหากมองในมุมของนักสร้างแบรนด์​เราอยากรู้ว่า


     ถ้ามองฮ่องกงให้เป็นแบรนด์เราจะซื้อแบรนด์แบบนี้หรือไม่?


     นี่เป็นคำถามที่ต้องตอบ ซึ่งมันทำให้การเดินทางสนุกมากขึ้น และทำให้เปลี่ยนวิธีคิดในการมองโลกไปเป็นอีกแบบ 
               

     ฮ่องกงนั้นมีภูมิประเทศเป็นเกาะ มีประชากรประมาณ 7 ล้านคน ซึ่งเมื่อเทียบกับจำนวนประชากรในกรุงเทพฯ แล้ว สัดส่วนความหนาแน่นของประชากรต่อ 1 ตารางเมตรของฮ่องกงมีน้อยกว่ากรุงเทพฯ ถึง 2.5 เท่า ความได้เปรียบด้าน Product ของฮ่องกงคือ การมีภูมิประเทศเป็นเกาะ ซึ่งทำให้เส้นทางการสัญจรต่างๆ มีทัศนียภาพสองข้างทางที่สวยงามมาก การวางผังเมืองที่ค่อนข้างเป็นระเบียบทำให้เส้นทางดูง่าย ไม่วกวน แถมสองข้างทางถนนเต็มไปด้วยต้นไม้เขียวขจี ดูสบายตา
               

     Brand Image หรือภาพลักษณ์แบรนด์ที่ชัดเจนด้านหนึ่งของฮ่องกงก็คือ การเป็นเมืองแห่งการช้อปปิ้ง เป็นเมืองที่ดูมีความทันสมัย เจริญก้าวหน้า สินค้าด้าน Gadget และ IT ค่อนข้างหลากหลาย ที่สำคัญคือราคาถูกกว่าเมืองไทย นั่นหมายความว่า การเข้าถึงเทคโนโลยีนั้นง่ายกว่า และใช้ต้นทุนที่ถูกกว่าเมื่อเทียบกับบ้านเรา รวมถึงสินค้าแบรนด์เนมต่างๆ ราคาก็ถูกกว่าเช่นกัน การปักหมุดว่าฮ่องกงเป็นดินแดนแห่งการช้อปปิ้งสำหรับคนไทยก็ดูจะไม่เกินจริงเลย


     อย่างไรก็ตาม เพียงแค่ภาพที่เห็นด้านเดียวก็ยังตัดสินบุคลิกของแบรนด์ฮ่องกงไม่ได้ทั้งหมด เพราะว่าเรายังไม่เห็นอีกด้านที่สำคัญมาก นั่นคือวัฒนธรรม วิถีชีวิต และสถานที่ท่องเที่ยวทางศาสนา ซึ่งวัดวาอารามที่เป็น Signature หลักๆ ของฮ่องกงก็คือ วัดแชกง วัดใหญ่นองปิง และเจ้าแม่กวนอิมองค์ใหญ่
               

     การได้ไปไหว้พระและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ตามสถานที่ต่างๆ ทำให้พบว่า การนับถือบูชาเทพเจ้า มีความสำคัญกับชาวฮ่องกงมาก กลิ่นอายของวัฒนธรรม วิถีชีวิตและผู้คนเมื่อเราเข้าถึงวัดต่างๆ นั้น ทำให้ภาพของฮ่องกงมีความหลากหลายทั้ง 2 ขั้ว คือ เทคโนโลยี และศาสนา
               

     ความหลากหลายดังกล่าวไม่ได้สะท้อนแค่จากภาพของห้างสรรพสินค้ากับวัด แต่ว่าเมื่อเปรียบเทียบระหว่างวัดกับวัด เรายิ่งได้เห็นว่ามีภาพซ้อนกัน 2 แบบ โดยเฉพาะวัดแชกงกับวัดใหญ่นองปิง บรรยากาศของวัดแชกงเป็นแบบดั้งเดิม ศิลปะเป็นแบบยุคเก่า การไปไหว้ท่านเทพแชกงที่นี่มีพิธีกรรมที่ทำให้รู้สึกว่าขลัง มีพลังบวกอยู่เต็มพื้นที่จริงๆ ในขณะที่เมื่อตัดไปที่วัดใหญ่นองปิง บรรยากาศความขลังต่างกันเยอะ เรียกได้ว่า Brand Environment สภาพแวดล้อมของแบรนด์แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ถึงแม้ว่านองปิงจะดูมีเอกลักษณ์ในแบบศิลปะของจีน แต่ก็โชว์เหนือในเรื่องความทันสมัยตั้งแต่การต้อนรับนักท่องเที่ยวด้วยการใช้กระเช้าลอยฟ้าในการ Present
               

     การขึ้นกระเช้านับว่าเป็นรักแรกพบที่ผู้เขียนมีต่อฮ่องกงเลยทีเดียว เพราะว่าด้วยรูปแบบการนำเสนอและทัศนียภาพที่ได้เห็นขณะอยู่บนกระเช้าทุกอย่างมันดูลงตัว สวยงาม และเมื่อไปถึงพระใหญ่ การจัด Landscape ของวัดดูโปร่ง สบาย มีความทันสมัยแทรกอยู่ในอารยธรรมแบบดั้งเดิม สุดท้ายแล้วเมื่อเดินขึ้นไปไหว้พระใหญ่บนเขา คำตอบเรื่องของความสงบ และการเป็นที่พึ่งทางใจนั้น แทบไม่แตกต่างจากที่วัดแชกง
               

     เช่นเดียวกับการไปไหว้เจ้าแม่กวนอิมองค์ใหญ่ ซึ่งบรรยากาศโดยรวมถูกตกแต่งให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่สวยงาม แต่เมื่อเข้าไปถึงจุดที่กราบไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์แล้ว ความเงียบสงบ ความขลังของพื้นที่ก็ดูจะโดดเด่นขึ้นมามากกว่าการเป็นจุดท่องเที่ยวธรรมดา
               

     ไม่ใช่แค่สถานที่เท่านั้นที่มีความแตกต่าง ผู้คนก็เช่นกัน สิ่งที่เป็นความขัดแย้งกับภาพลักษณ์ที่ดูทันสมัยก็คือ การแต่งตัวของชาวฮ่องกงส่วนใหญ่แต่งตัวธรรมดา ไม่ได้มีภาพลักษณ์ของความทันสมัยให้เห็น ในบางโซนผู้เขียนแอบคิดว่า แต่งตัวเชยกว่าคนไทยในเมืองใหญ่ของบ้านเราเสียอีก แต่ต้องบอกว่าก็ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจอะไร เพราะวิถีชีวิตของคนฮ่องกงค่อนข้างมีความทับซ้อนระหว่างความทันสมัยและวิถีแบบดั้งเดิมอยู่สูง
               

     โดยรวมแล้วผู้เขียนประทับใจในความขัดแย้งแบบนี้ของฮ่องกง เพราะรู้สึกว่าความเจริญของเมืองไม่ได้เปลี่ยนวิถีของผู้คนให้ต้องวิ่งตามโลกที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว ก็ยังมีบางมุมที่เป็นมุมสงบ สง่างาม น่านับถือแฝงอยู่
                .

     ถ้ามองเป็นแบรนด์ก็ถือว่าบุคลิกภาพของแบรนด์ หรือ Brand Personality ของฮ่องกงนั้นค่อนข้างหลากหลาย และขัดแย้งในตัวเองพอสมควร กล่าวโดยรวมแล้วแบรนด์ฮ่องกง แทบไม่ได้ผิดไปจากภาพที่คิดไว้เท่าไร ในขณะที่แคมเปญโปรโมตการท่องเที่ยวของฮ่องกงอาจจะต้องคิดมากหน่อยว่าอยากให้มี Brand Positioning หรือจุดยืนของแบรนด์อยู่ตรงไหนอย่างไร


     อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เป็น Brand Identity ตัวตนของแบรนด์ซึ่งมีความชัดเจนมากของฮ่องกงก็คือ อาหาร นอกจากจะจัดให้เป็น Signature ที่ดีได้แล้ว ยังมี Identity ที่แข็งแรงมากอีกด้วย เพราะว่าตลอด 7 มื้อในฮ่องกง ผู้เขียนได้มีโอกาสกินอาหารตั้งแต่ในโรงแรมระดับ 5 ดาว ไล่มาจนถึงภัตตาคารชื่อดังทั้งที่เป็น Stand Alone และร้านดังอยู่ในห้างสรรพสินค้า รวมถึงอาหารแบบ Street Food บอกได้คำเดียวว่าเป็นแนวทางเดียวกันทั้งหมด ทั้งรสชาติ รูปแบบ และการ Present แบบนี้จะไม่ให้สรุปว่าเป็น Identity ที่ชัดเจนมากก็คงไม่ได้ ยอมใจให้เลยจริงๆ สำหรับเรื่องนี้


     คิดต่อเล่นๆ ว่าถ้าได้มีโอกาสโปรโมตแบรนด์ฮ่องกง ก็คงจะมี TVC เป็นแบบตัดให้เห็นความหลากหลายของวัฒนธรรมที่สุดขั้วทั้งเทคโนโลยีและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ แต่ก็จะปิดท้ายด้วยอาหารเด็ดๆ ซึ่งหลับตาเดินกินที่ไหนก็มาตรฐานเดียวกันไม่ต้องกลัวว่าจะเจอร้านไม่อร่อย

 
     เรื่องสุดท้ายที่จะต้องมองฮ่องกงให้เป็นแบรนด์ก็คือ Brand Ambassador ตัวแทนของแบรนด์ นั่นก็คือ ผู้คนชาวฮ่องกงนั่นเอง ซึ่งในมุมของการสร้างแบรนด์ ผู้เขียนให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มากเป็นลำดับต้นๆ เพราะว่าบางแบรนด์​สร้างกันมาเกือบตาย แต่ก็พังเอาง่ายๆ ได้ภายในไม่กี่นาทีเพราะพนักงานนี่แหละ
               




     ถ้าจะปั้นแบรนด์ฮ่องกง ความเหนื่อยน่าจะอยู่ที่การปั้น Brand Ambassador นี่แหละ เพราะว่าผู้คนฮ่องกงค่อนข้างเครียด อยู่มา 3 วันนี่นับได้เลยว่ามีกี่คนที่ยิ้มให้เรา แม้กระทั่งพนักงานในตำแหน่งบริการ เช่น พนักงานขาย พนักงานเสิร์ฟ พนักงานต้อนรับ ก็แทบไม่ยิ้มแถมยังทำหน้าดุอีกต่างหาก ยิ่งพนักงานเสิร์ฟอาหารนี่ตอนเสิร์ฟแทบจะโยนจานใส่โต๊ะอาหาร ซึ่งเป็นเหตุการณ์ปกติของภัตตาคารหรูๆ ทุกที่ที่ไป พอเริ่มชินก็คิดว่าคงเป็นธรรมชาติของเขาไปแล้ว  
               

     ถึงแม้ว่าผู้คนส่วนใหญ่จะหน้าตาเคร่งเครียด แต่ไม่ได้มีความก้าวร้าวอะไร คงเป็นธรรมชาติของเขาเท่านั้นเอง ในมุมนี้ผู้เขียนแอบคิดถึงเมืองไทย คิดถึงคนไทย และทำให้รู้ซึ้งว่า ทำไมนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกถึงได้หลงรักเมืองไทย และคนไทยกันนัก เพราะเราคือสยามเมืองยิ้ม เราเป็น Land of Smile ยังไงพี่ไทยก็ยิ้ม พูดภาษาอังกฤษรู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้างแต่เราก็ยังยิ้มให้นักท่องเที่ยว
               

     มองในมุมนี้ Brand Reputation หรือชื่อเสียงของแบรนด์สำหรับฮ่องกงในสายตาผู้เขียนนั้นดูดรอปลงไปเยอะ แม้ว่าไม่ได้รู้สึกถึงขนาดไม่ชอบหรือไม่ประทับใจ แต่ถ้าถามว่าเป็นเมืองที่อยากไปเที่ยวซ้ำอีกไหม ตอบว่าถ้าเป็นช้อปปิ้งก็อยากจะไปอีกเพราะครั้งนี้มีเวลาช้อปปิ้งน้อยมาก
               

     จริงๆ แล้วการไปฮ่องกงครั้งนี้มีความประทับใจมากกว่าไม่ประทับใจ ส่วนเรื่องผู้คนไม่ยิ้มเลยนั้น ผู้เขียนมองเป็นเรื่องปกติไม่ได้เอามาตัดคะแนนในการมองฮ่องกง 3 วันให้เป็นแบรนด์ ส่วนคำถามที่ตั้งไว้ในตอนต้นว่าในมุมของนักสร้างแบรนด์นั้นจะซื้อแบรนด์ที่มีบุคลิกแบบฮ่องกงไหม
               

     อันนี้ตอบยากจริงๆ เพราะถึงที่สุดแล้วผู้เขียนก็รู้สึกว่าผู้คนซึ่งเป็นตัวแทนของ Brand Ambassador มีอิทธิพลต่อผู้เขียนค่อนข้างมาก
               

     ให้ตอบว่ารักเมืองไทย Land of Smile และรักคนไทยมากที่สุดเห็นจะตอบง่ายกว่า


www.smethailandclub.com
ศูนย์รวมข้อมูลธุรกิจเอสเอ็มอี



 

RECCOMMEND: MARKETING

รู้จัก FOMO Marketing กลยุทธ์ปลุกความกลัวพลาด ที่ช่วยเร่งยอดขายโต

ลูกค้าไม่ได้ซื้อเพราะอยากได้เสมอไป แต่ซื้อเพราะ ‘กลัวพลาด’ รู้จัก FOMO Marketing กลยุทธ์ต้นทุนต่ำที่ช่วยให้ SME ปิดการขายได้ไวขึ้น

รวมกับดักการตลาด ที่กำลัง “ฆ่า” SME แบบไม่รู้ตัว ดูวิธีรอดที่ทำได้ทันที

พาไปแกะทีละข้อ ว่าทำไม “สูตรยิงแอด” หรือ “สูตรทำคอนเทนต์” ที่เวิร์กกับคนอื่น ถึงไม่เวิร์กกับคุณ พร้อมชี้ทางออก ที่จะทำให้การสื่อสารแบรนด์กลับมา “เข้าเป้า” ได้จริง

Color Psychology: จิตวิทยาเรื่องสี ที่แบรนด์ใหญ่ใช้เพิ่มยอดขาย

สี…ก็เปลี่ยนยอดขายได้ ทำไม Facebook ใช้สีน้ำเงิน? ทำไม Chanel ถึงเลือกสีดำทอง? ทำไมฟาสต์ฟู้ดต้องสีแดง-เหลือง? คำตอบอยู่ที่ “Color Psychology” จิตวิทยาของสีที่แบรนด์ใหญ่ใช้สร้างกำไรมาแล้วทั่วโลก