แรงสุด! การตลาด FANDOM ผู้กุมชะตาแบรนด์ให้รอดหรือร่วง

TEXT : กองบรรณาธิการ

PHOTO : ฝ่ายภาพ SME Thailand





Main Idea
 
  • การรักษาความจงรักภักดีของผู้บริโภคยุคนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย โจทย์ใหม่ที่แบรนด์จะละสายตาไม่ได้ ถึงขนาดนักการตลาดประกาศคำชี้ชะตาแบรนด์ว่า...มูลค่าของแบรนด์อยู่ที่จำนวนแฟนดอม! ที่ผูกพันธ์กับแบรนด์มากกว่าแฟนคลับ
 
  • ยิ่งแฟนดอมมากเท่าไหร่ก็จะเป็นขุมพลังสำคัญเอื้อประโยชน์ให้กับ SME แม้เงินในกระเป๋าไม่หนักแต่มีพลังพอต่อกรกับแบรนด์ใหญ่ได้




     ยุคที่ผู้คนเริ่มมีความยูนีค (Unique) มากขึ้น ความจงรักภักดีในแบรนด์มีน้อยลง สวนทางกับตัวเลือกของสินค้าและบริการที่มากมายจนล้นสนาม คู่ต่อสู้มหาศาลพร้อมแย่งชิงส่วนแบ่งตลาดและพื้นที่ในใจผู้บริโภค การจะอยู่รอดของแบรนด์ยุคนี้จึงไม่ใช่เพียงแค่การสร้างฐานลูกค้า แต่ต้องเป็นการสร้างฐาน แฟนดอม (Fandom) หรือแฟนคลับตัวจริงที่จะคอยสนับสนุนและส่งเสริมแบรนด์ เปลี่ยนการตลาดผิวเผินเป็นมาร์เกตติ้งเชิงลึก ที่เข้าถึงใจผู้บริโภคแบบเฉพาะตัวมากยิ่งขึ้น
 



     ปฐมบทแฟนดอม หัวใจการตลาดยุคใหม่
     แฟนดอม (Fandom) เป็นการรวมกันของคำว่า FanClub (กลุ่มคนที่คลั่งไคล้หรืออุทิศตนให้กับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง) กับ Kingdom (อาณาจักร) หากมองในมิติของแบรนด์ก็คือกลุ่มของคนที่หลงใหลคลั่งไคล้ในแบรนด์และพร้อมที่จะสนับสนุนและส่งเสริมแบรนด์นั้นๆ โดยจะคอยติดตามสนับสนุนสินค้าและบริการอย่างภักดี ไม่ใช่แค่รักแบบหัวปักหัวปำ แต่แฟนดอมจะเป็นผู้ปกป้องและให้คำแนะนำแบรนด์อย่างเป็นมิตรอีกด้วย
 
     สโรจ เลาหศิริ Chief Marketing Officer บริษัท แรบบิทส์ เทลล์ นักการตลาดดิจิทัลผู้เชี่ยวชาญด้านพฤติกรรมผู้บริโภคยุคใหม่ กล่าวถึงพลังและความสำคัญของแฟนดอม โจทย์ใหม่ที่แบรนด์ยุคนี้จะละสายตาไม่ได้ ถึงขนาดประกาศคำชี้ชะตาแบรนด์ว่า...มูลค่าของแบรนด์อยู่ที่จำนวนแฟนดอม!        

     “การสร้างแฟนดอมของแบรนด์เป็นเรื่องสำคัญมากในยุคนี้ที่ผู้บริโภคลอยัลตี้ (Loyalty) ต่ำ มีความจงรักภักดีในแบรนด์น้อยลง แบรนด์ถูกคนโจมตีได้ง่ายในโซเชียล การที่มีแฟนดอมเป็นของเราเอง มีกลุ่มคนที่รักและสนับสนุนเรา ที่สำคัญเขาจะเป็นผู้ปกป้องและให้คำแนะนำกับเราอย่างเป็นมิตร เรื่องพวกนี้สำคัญมาก ถ้าเป็นลูกค้าทั่วไปเวลาเราทำไม่ดีเขาจะด่าแต่ไม่มีคำแนะนำให้ แต่กับคนที่เป็นแฟนดอมเวลาที่เขาเจอข้อเสียของเราเขาจะติ และบอกว่า เราต้องแก้ไขแบบไหน นั่นแหละคือคุณค่า (Value) ของแฟนดอม คือฐานของแฟนเราที่ทำให้เข้าใจได้ว่ายุคนี้มูลค่าของแบรนด์อยู่ที่จำนวนแฟนดอม”


             
     “ให้” ก่อนรับเปลี่ยนคนรักมาเป็นแฟนดอม
ตัวอย่างของ SME ที่สามารถสร้างฐานแฟนดอมได้อย่างชัดเจนคือ ร้านดิลก ร้านรองเท้ากีฬาเก่าแก่ที่อยู่ในตลาดมานานกว่า 30 ปี วันนี้ธุรกิจอยู่ในมือทายาทรุ่น 2 ธนพล มธุปยาส กรรมการผู้จัดการ บริษัท ดิลก สโตร์ จำกัด ร้านดิลกเริ่มจากนำเข้าสินค้าเกี่ยวกับบาสเกตบอลมาจำหน่าย จนพัฒนากลายเป็นร้านอันดับ 1 ในตลาดกีฬาบาสเกตบอล


     หนึ่งในจุดแข็งของเขาคือ การมีสินค้าเฉพาะกลุ่มที่คนเล่นบาสฯ ปรารถนา อย่างเช่น รองเท้าบาสฯ รุ่นลิมิเต็ดของ adidas เพียงเจ้าเดียวในประเทศ ชนิดที่ช็อป adidas เองยังไม่มีขายด้วยซ้ำ แต่สิ่งที่ดึงดูดคนรักบาสฯ ให้เข้ามาที่นี่จริงๆ คือ การสร้างประสบการณ์สุดพิเศษให้กับกลุ่มลูกค้าของพวกเขา ซึ่งแตกต่างไปจากช็อปทั่วๆ ไปที่อาจมีเพียงแค่พื้นที่ขายสินค้า และพนักงานบริการแบบขอไปทีเท่านั้น


     “ร้านของเรามีพื้นที่ให้เล่นบาสฯ ลูกค้าจะเล่นให้เละให้พังแค่ไหนก็เล่นไป เรายังมีโต๊ะขนาดยาวเพื่อให้คนได้มานั่งพูดคุยกัน เกิดเป็นชุมชนคนรักบาสฯ (Community) ขึ้นภายในร้าน”
 
     หากมองว่าเป็นการลงทุนเพื่อหวังผลในระยะยาวก็ไม่ผิดนัก เพราะแบรนด์ย่อมมีต้นทุนในการสร้างพื้นที่ แต่เมื่อฐานชุมชนเหล่านี้เปลี่ยนเป็นแฟนดอมที่รักและภักดีกับดิลกเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ สะท้อนกลับมาเป็นการสนับสนุนสินค้าของทางร้านเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จนสร้างยอดขายที่สูงขึ้นทุกๆ ปี
 
     โมเดลการให้ไปก่อนเพื่อสร้างฐานแฟนได้ผลเพื่อขยายฐานลูกค้าให้กว้างขึ้น เขาจึงจับมือกับเจ้าของสนามบาสฯ เดินหน้าเปิดสนามบาสฯ ใหม่ๆ ทั่วกรุงเทพฯ นั่นหมายถึงว่า ชุมชนคนรักบาสฯ ที่จะสนับสนุนสินค้าของพวกเขาก็จะเพิ่มจำนวนขึ้นตามไปด้วย จนวางแผนที่จะขยายจากการขายรองเท้าบาสฯ ไปสู่สินค้าไลฟ์สไตล์ทั้งหมดที่เกี่ยวกับกีฬาบาสเกตบอล ที่เป็นยี่ห้อของตัวเองในอนาคตอีกด้วย


     ทั้งหมดนี้ไม่ได้เริ่มจากแค่การมีหน้าร้านเพื่อขายสินค้า แต่เป็นการสร้างชุมชนของคนรักแบรนด์ให้เกิดขึ้น จนกลายเป็นตลาดที่แข็งแกร่งของดิลกในวันนี้ ซึ่งต่อยอดเป็นโอกาสธุรกิจอีกมากในอนาคต



 
     อย่าทำให้ผิดหวัง! กฎเหล็กรักษาฐานแฟนดอม
     เมื่อสร้างกลุ่มแฟนดอมได้แล้วจะรักษาแฟนกลุ่มนี้ให้อยู่กับแบรนด์ไปนานๆ ได้อย่างไร เริ่มจากคำสั้นๆ ง่ายๆ แค่อย่าทำให้ผิดหวัง อาจไม่ง่ายในทางปฏิบัติ สโรจ เลาหศิริ นักการตลาดแห่ง แรบบิทส์ เทลล์ แนะนำว่า
เรื่องที่สำคัญที่สุดในการรักษาแฟนดอมคือ การรักษามาตรฐาน เหมือนกับว่าเมื่อคุณทำอะไรให้แฟนดอมของคุณไปแล้ว คุณจะมาชักกลับไม่ได้ เพราะเขาจะมองว่าคุณไม่เหมือนเดิม”


     ฉะนั้นไม่ใช่แค่การรักษามาตรฐาน SME จะต้องใส่ใจในแฟนดอมของตัวเองให้มากขึ้น โดยต้องหมั่นพูดคุยเพื่อถามฟีดแบ็ก ยินดีรับฟังทั้งคำชมและคำติ พร้อมนำไปปรับปรุงแก้ไขเพื่อให้แฟนดอมรู้สึกดีกับเรามากขึ้น และไม่เปลี่ยนใจไปไหน เพราะการจะรักษาความจงรักภักดีของผู้บริโภคยุคนี้ไว้ได้ไม่ใช่เรื่องง่าย   


     อีกหนึ่งหนทางรักษาแฟนดอมก็คือ การรักษาคัลเจอร์และจิตวิญญาณของตัวแบรนด์เอาไว้ให้ได้ เหมือนที่ สุรศักดิ์ เหลืองอุษากุล นักกลยุทธ์การตลาดดิจิทัล และ ผู้บริหาร บริษัท แบรนด์เบเกอร์ จำกัด บอกไว้ว่า แบรนด์จะต้องมีคัลเจอร์ (วัฒนธรรม) ที่ชัดเจน เช่น Apple ที่มีจิตวิญญาณของ สตีฟ จอบส์ ถึงวันนี้แบรนด์ยังคงรักษาแฟนดอมไว้ได้อย่างเหนียวแน่นแม้ สตีฟ จอบส์ จะไม่อยู่แล้ว


     “ก่อนจะสร้างแบรนด์คัลเจอร์เราต้องคิดถึงตัวเองก่อนว่า เรามีธุรกิจไปเพื่ออะไร และต้องมั่นใจว่าการมีธุรกิจนั้นสร้างรายได้ได้จริงๆ เพราะเราไม่ได้ทำการกุศล แต่การจะสร้างรายได้นั้นต้องมาจากจิตวิญญาณบางอย่างที่ทำให้คนอื่นเห็นด้วยหรือเชื่อเรา แล้วถ้าวันหนึ่งจิตวิญญาณนั้นมีพลังมากพอ ก็อยากจะเอาขึ้นมาให้คนได้เห็นและสร้างเป็นกลุ่มคนที่เป็นแฟนตัวจริงของเราขึ้นมา คนที่เชื่อแบบเดียวกับเรา ซึ่งการรักษาจิตวิญญาณของเราไว้ก็คือ การรักษาฐานแฟนคลับเหล่านี้นั่นเอง”
 
               
     เตรียมตัวให้พร้อม แล้วไปสร้างแฟนดอม องครักษ์พิทักษ์ธุรกิจของคุณกัน       
 

www.smethailandclub.com
ศูนย์รวมข้อมูลธุรกิจเอสเอ็มอี

 

RECCOMMEND: MARKETING

รู้จัก FOMO Marketing กลยุทธ์ปลุกความกลัวพลาด ที่ช่วยเร่งยอดขายโต

ลูกค้าไม่ได้ซื้อเพราะอยากได้เสมอไป แต่ซื้อเพราะ ‘กลัวพลาด’ รู้จัก FOMO Marketing กลยุทธ์ต้นทุนต่ำที่ช่วยให้ SME ปิดการขายได้ไวขึ้น

รวมกับดักการตลาด ที่กำลัง “ฆ่า” SME แบบไม่รู้ตัว ดูวิธีรอดที่ทำได้ทันที

พาไปแกะทีละข้อ ว่าทำไม “สูตรยิงแอด” หรือ “สูตรทำคอนเทนต์” ที่เวิร์กกับคนอื่น ถึงไม่เวิร์กกับคุณ พร้อมชี้ทางออก ที่จะทำให้การสื่อสารแบรนด์กลับมา “เข้าเป้า” ได้จริง

Color Psychology: จิตวิทยาเรื่องสี ที่แบรนด์ใหญ่ใช้เพิ่มยอดขาย

สี…ก็เปลี่ยนยอดขายได้ ทำไม Facebook ใช้สีน้ำเงิน? ทำไม Chanel ถึงเลือกสีดำทอง? ทำไมฟาสต์ฟู้ดต้องสีแดง-เหลือง? คำตอบอยู่ที่ “Color Psychology” จิตวิทยาของสีที่แบรนด์ใหญ่ใช้สร้างกำไรมาแล้วทั่วโลก